นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ งบฯ 69 เหลือกระสุนน้อย ยิงไม่ตรงจุด ห่วง ศก.โตช้า

เชื่อ หมดเวลาการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องเร่งเดินหน้าปรับโครงสร้าง หากทำไม่ได้ห่วงเศรษฐกิจแย่ลง วิเคราะห์ จัดสรรงบฯ ไม่สอดรับความเดือดร้อนประชาชน ด้าน ฝ่ายค้านเสนอช่วยรัฐบาลประหยัดงบฯ ชี้ โยกงบฯ เงินหมื่นดิจิทัล 1.57 แสนล้าน สะท้อน รัฐไม่วางแผน

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ในรายการ Policy Watch จับตาอนาคตประเทศไทย ว่า ประเทศไทยเจอความท้าทายหลายด้าน แต่งบประมาณที่จัดสรร กลับไม่แนบสนิทความเดือดร้อนของประชาชน เห็นได้จาก 5 อันดับ งบประมาณมากที่สุด คือ งบฯ กลาง (614,616 ล้านบาท), กระทรวงศึกษาธิการ (358,361 ล้านบาท), กระทรวงมหาดไทย (328,013 ล้านบาท), กระทรวงการคลัง (268,719 ล้านบาท) และ กระทรวงกลาโหม (223,464 ล้าบาท) 

โดยเฉพาะ กระทรวงกลาโหม ที่ถูกวิจารณ์เยอะถึงความจำเป็น และเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณติดอันดับต้น ๆ ของประเทศเสมอ แต่ในมุมของ นักเศรษฐศาสตร์ กลับมองว่า ความมั่นคง มีหลายมิติ ไม่ใช่แค่การทหารเพียงอย่างเดียว ซึ่ง นิยามความมั่นคงสมัยใหม่ มีถึง 7 ด้าน ประกอบด้วย ความมั่นคงทางทหาร, เสถียรภาพรัฐบาล, เศรษฐกิจ, สังคม, สิ่งแวดล้อม, ไซเบอร์, และ การรับมือกับภัยพิบัติ โรคระบาดที่รุนแรง ซึ่งปัจจุบันนี้ทุกเสาความมั่นคงดังกล่าว ไม่มีเสาไหนที่แข็งแรงเลย

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 
วิเคราะห์ในรายการ Policy Watch จับตาอนาคตประเทศไทย

โดยเฉพาะในมิติเศรษฐกิจ เป็นมิติที่ ผศ.เกียรติอนันต์ เป็นห่วงมากที่สุด เพราะเวลานี้รัฐบาลเหลือกระสุนไม่เยอะ และยังยิงได้ไม่คุ้มค่า… พร้อมย้ำว่า ไทยหมดช่วงเวลาของการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว และควรเดินหน้าเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หาก งบฯ กลาง โดยเฉพาะ งบฯ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ลดลง เพื่อปรับไปอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่หากไม่มี และหายไปเลยก็มีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจจะแย่ลง ทั้งที่ประเทศไทยควรจะทำตัวเลขของ GDP ได้ 3% ต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้

“ปัญหาใหญ่ของประเทศไทย คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เรื้อรังมากว่า 30 ปี เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปี ให้รัฐบาลพิสูจน์ผลงาน สิ่งที่ประชาชนจะวัดก่อนเลือกตั้งคือ ตัวเลขเม็ดเงินในกระเป๋า การทำให้ประชาชนมีกิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อย่างเป็นรูปธรรม”

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ขณะที่ งบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เป็นอีกก้อน ที่สอดคล้องกับ เสาความมั่นคงด้านการรับมือกับภัยพิบัติ โรคระบาดที่รุนแรง ซึ่ง ผศ.เกียรติอนันต์ มองว่า แทบทุกปีงบประมาณส่วนนี้ก็ยังได้รับน้อย ซึ่งเป็นคล้ายกันทั่วโลก แต่ประเด็นสำคัญ คือ การจัดสรรงบฯ ด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ควรอยู่เพียงแค่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ต้องจัดสรรงบประมาณให้ทุกการออกแบบ ก่อสร้าง การลุงทุน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เช่น การจัดสรรงบฯ ให้กระทรวงคมนาคม ออกแบบถนนที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องทำ

“ต้องไม่ลืมว่าในอนาคต ไทยกำลังเข้าสู่การทำให้คาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในแง่ของการลงทุน-ค้าขาย เป็นเรื่องสำคัญ ที่ไทยต้องปรับภูมิทัศน์ ปรับวิธีคิด ทัศนคติ และการผลิตให้สอดคล้องกับความเป็นมิตร และการรับมือด้านสิ่งแวดล้อม”

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ฝ่ายค้านคุมธีม ช่วยหางบฯ รัฐบาลแก้ปัญหาความเดือดร้อน

สำหรับภาพรวมงบฯ ประจำปี 2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท แต่เป็นงบประมาณที่ฝ่ายค้านได้อภิปราย และตั้งคำถามมากที่สุดว่า มีความคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากแค่ไหน ธีมของฝ่ายค้านที่วิพากษ์ วิจารณ์งบฯ รอบนี้ คือ “ช่วยรัฐบาลหางบฯ” ช่วยตัดงบฯ ที่ไม่คุ้มค่า พร้อมตั้งคำถามสำคัญ “งบฯ เพื่อใคร เพื่อประชาชนหรือไม่ ?” โดยยืนยันว่า ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ ฝ่ายค้านพร้อมที่จะช่วยประหยัดงบฯ ให้รัฐบาล และอาจจะโหวตไม่เห็นชอบ หากเหตุผลในการใช้จ่ายงบฯ ไม่มีประโยชน์เพียงพอ

พรรคประชาชน ย้ำถึงความต้องการช่วยรัฐบาลประหยัดงบฯ ในสภาวะเศรษฐกิจที่ใกล้จะพัง อยากช่วยรัฐบาลเต็มที่ แต่ต้องการเข้มงวดทุกรายการ ทำงบฯ เพื่อตอบโจทย์ประชาชนจริง ๆ และต้องการตั้งคำถามที่มาทุกรายการ ว่า มีไว้เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนหรือไม่ ?

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายยกตัวอย่าง การโยก งบฯ กลางที่ใช้ไปมากถึง 1.57 แสนล้าน ไปกับการแจกเงินหมื่น ที่ไร้เป้าหมาย ขณะที่ งบฯ ในปี 2568 กับปี 2569 ก็ใช้งบประมาณที่แทบจะเหมือนกัน สอดคล้องกับ ศิริกัญญา ตันสกุล ที่ไม่เห็นด้วยกับการโยกงบฯ ก้อนนี้ไปใช้เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดตามที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอไว้

ด้าน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยัน การจัดสรรงบฯ 69 เป็นไปตามเป้าหมาย กระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ส่วนโครงการดิจิทัลแจกเงินหมื่น ก็รับฟังความคิดเห็นทั้งหมด ในขณะที่ประเด็นการแก้ปัญหายาเสพติด มีกระแสว่าจะโยกงบฯ ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท มาใช้แก้ปัญหายาเสพติด นายกฯ ยอมรับว่า ยังไม่ได้โยกงบฯ ตอนนี้ และอาจจะให้ฝ่ายค้านช่วยพิจารณา พร้อมที่จะรับฟังทุกความคิดเห็น

ขณะที่ ภัณฑิล น่วมเจิม สส.พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ The Active และตั้งข้อสังเกตว่า งบฯ กลาง ถูกใช้ไปค่อนข้างเยอะ อาจกลายเป็นการ “ตีเช็คเปล่า” ขณะที่ งบฯ ท้องถิ่น มีเวลาจำกัดให้กรอกขอ งบฯ เพียง 3-5 วัน คนที่กรอกทัน ก็จะเป็นกลุ่มคนที่รู้ล่วงหน้า และ ภาคราชการส่วนใหญ่ก็มักจะของบฯ จากโครงการเดิม และตัดงบฯ เป็นพิธีกรรม ไม่จัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ 

ปรับปรุงสภาฯ ตัวอย่าง งบฯ ไม่คุ้มค่า

สส.ภัณฑิล ยังยกตัวอย่างงบฯ ที่ไม่คุ้ม ไม่จำเป็น คือ งบฯ ที่ขอมาเพื่อปรับปรุงสภาฯ โดยมองว่า งบฯ ปรับปรุงสภาฯ หลัก 5,000 ล้านบาท ไม่เยอะหากเทียบกับ งบฯ ภาพรวม 3 ล้านล้านบาท

แต่ที่น่าตกใจ คือ รัฐสภาเป็นหน่วยงานหลักเห็นชอบงบประมาณของประเทศ ในฐานะนิติบัญญัติ ตรวจสอบฝ่ายบริหาร หากไม่สามารถตอบคำถามพี่น้องประชาชนได้ว่าจะเอางบฯ ปรับปรุง ไปสร้างความคุ้มค่าได้อย่างไร ก็ไม่ควรดำเนินการต่อ เพราะสภาฯ เพิ่งสร้างเสร็จ ไม่ถึง 5 ปี หลายโครงการที่ถูกเสนอเข้ามานับ 10 โครงการ ถูกตัดไป 5 โครงการ อยู่ระหว่างการกลั่นกรองของคณะกรรมการอีกหลายฝ่าย ซึ่งฝ่ายค้านก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ ภัณฑิล ให้ข้อมูลด้วยว่า ตามหลักการ งบฯ มี 3-4 ก้อนหลัก แบ่งเป็น

  • งบฯ บุคลากร ส่วนนี้ตัดค่อนข้างยาก เพราะเป็นงบฯ ที่ค่อนข้างคงที่ เยอะมากที่สุดประมาณ 30-40% จึงอาจจะมีแรงต้านเยอะ

  • งบฯ ดำเนินการ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าก่อสร้าง ส่วนนี้ก็อาจจะประหยัดได้ไม่มาก

  • งบฯ ลงทุนใหม่ขนาดใหญ่ เช่น งบการจัดซื้อจัดจ้าง คุรุภัณฑ์ งบผูกพันในระยะยาว ส่วนนี้เป็นส่วนที่สามารถประหยัดได้

  • งบฯ โอนถ่ายระหว่างปี ที่อาจจะมีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์  และเป็นงบประมาณ ที่มักจะถูกสอดไส้ แอบแฝง เป็นต้นตอของการทุจริตระดับหน่วยงานได้ เพราะไม่ต้องเข้าสภาฯ

จึงมีข้อเสนอสำคัญให้รัฐบาล และหน่วยงานราชการที่ของบประมาณเข้ามา ทำงบประมาณฐานศูนย์ ที่คิดจากความคุ้มค่า และความจำเป็นที่แท้จริง 

เช่นเดียวกับ ผศ.เกียรติอนันต์ ที่เสนอให้จัดสรรงบฯ เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ว่า ควรเดินหน้าเปลี่ยนทัศนคติ พัฒนาบุคลากร (Upskill-Reskill) ปรับคน เปลี่ยนวิธีการทำมาหากิน เพราะไทยมีแรงงานทักษะสูงที่สามารถแข่งขันกับโลกได้เพียง 15% ซึ่งไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องทำให้คนอีกกว่า 15 ล้านคน เพิ่มทักษะแข่งขันกับโลกได้ และปรับโครงสร้างให้ธุรกิจ SMEs สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง จึงเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงในมิติของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

จากนี้จึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า งบประมาณปี 69 จะสาดกระสุนได้ตรงจุดกับปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนจริง ๆ และหวังเพียงว่าจะไม่ใช่การสาดกระสุนนัดสุดท้ายไปเพื่อปูทางหาเสียงเลือกตั้งเพียงเท่านั้น…

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active