8 กลุ่มแพทย์หนุนมติแพทยสภา ปมชั้น 14 – ‘โรม’ หวังยืนมติเดิม อย่าให้ประชาชนหมดศรัทธาหมอ

ย้ำ สะท้อนชัดกระบวนการช่วยเหลือ ‘ทักษิณ’ รอดคุก ซัด ‘สมศักดิ์’ ปกป้องนายใหญ่ เชื่อสังคมจับตามติแพทยสภาจากนี้ ขออย่าให้ต้องหมดศรัทธาวิชาชีพแพทย์ ด้าน ‘แพทยสภา’ เตรียมประชุม 12 มิ.ย.นี้ เผย ต้องใช้เสียงอย่างน้อย 47 จาก 70 คน เพื่อยืนยันมติเดิม หากผ่านมติถือเป็นสิ้นสุดตามกฎหมาย

วันนี้ (29 พ.ค. 68) จากกรณี สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ส่งหนังสือถึงแพทยสภาแล้วเกี่ยวกับกรณีมติลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยเป็นหนังสือตอบกลับตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอเปิดเผยเนื้อหาโดยละเอียดในขณะนี้

แม้ไม่มีการเปิดเผยชัดเจนถึงเนื้อหาการ “วีโต้” หรือ ความเห็นที่แย้งต่อมติเดิมของแพทยสภา แต่จากคำชี้แจงของ นายกองตรี ธนกฤต จิตอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า หนังสือที่ส่งไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. มีเนื้อหาทั้งที่เห็นด้วยบางประเด็น และเสนอให้แพทยสภาพิจารณาเพิ่มเติมในบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการพิจารณา

แพทยสภา

“ไม่ใช่เชิงคำสั่งให้ทบทวน เพราะการพิจารณาต่อเป็นอำนาจของแพทยสภา”

นายกองตรี ธนกฤต จิตอารีย์รัตน์

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การพิจารณาในฐานะสภานายกพิเศษครั้งนี้ มีการประชุมถึง 3 ครั้ง และพิจารณาคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ รายบุคคล โดยในคดีนี้มีแพทย์ถูกสอบสวน 4 คน 1 คน ถูกยกคำร้อง อีก 3 คนถูกลงโทษตั้งแต่ตักเตือนจนถึงพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 

มองเสียงหนุน ‘แพทยสภา’ จากวิชาชีพแพทย์

แม้ สมศักดิ์ จะมีความเห็นในฐานะสภานายกพิเศษที่อาจขัดแย้งกับมติเดิมของแพทยสภา แต่ในฝั่งวิชาชีพแพทย์ กลับมีการแสดงออกอย่างชัดเจนต่อการสนับสนุนมติดังกล่าว โดยในวันนี้ (29 พ.ค. 68) มีอย่างน้อย 8 กลุ่มแพทย์ ที่ออกแถลงการณ์สนับสนุนมติแพทยสภา ได้แก่

  1. แพทย์รามาธิบดี รุ่น 1 และ 2 (69 คน)

  2. แพทย์จุฬาฯ รุ่น 24 และ 26

  3. แพทย์จุฬาฯ รุ่น 27

  4. แพทย์เชียงใหม่ รุ่น 15

  5. แพทย์ศิริราช (78 คน)

  6. แพทย์จุฬาฯ กลุ่มอื่น ๆ

  7. แพทย์อาวุโสและเครือข่ายจากหลายสถาบัน

  8. แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดแคมเปญให้ประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนผ่าน Google Forms สะท้อนความห่วงใยต่อจริยธรรมและความเป็นอิสระขององค์กรวิชาชีพแพทย์ในการตัดสินคดีที่ซับซ้อนทางการแพทย์

ขั้นตอนต่อไป ‘แพทยสภา’ ยืนยันมติเดิมหรือไม่ ?

ภายหลังการส่งหนังสือตอบกลับโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แพทยสภาจะประชุมในนัดแรกหลังได้รับความเห็นจากสภานายกพิเศษในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เพื่อพิจารณาว่าจะยืนยันมติเดิมหรือไม่

ตามข้อบังคับแพทยสภา การยืนยันมติเดิมต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด หรืออย่างน้อย 47 จาก 70 คน หากผ่าน มติดังกล่าวจะถือเป็นที่สิ้นสุดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525

หากไม่ผ่าน แพทยสภาอาจต้องกลับมาทบทวนการพิจารณาใหม่อีกครั้งในรายละเอียด 

เบื้องหลังระบบไต่สวน ความซับซ้อนของคดีแพทย์

กรณีนี้ทำให้สังคมได้เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนของระบบพิจารณาคดีจริยธรรมแพทย์ โดยแพทยสภามีบทบาทเฉพาะในประเด็น “มาตรฐานวิชาชีพ” และ “ความรับผิดทางจริยธรรม” ไม่ใช่ทางอาญาหรือแพ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของอัยการและศาล

รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภา โพสต์ข้อความระบุว่า กระบวนการตัดสินของแพทยสภาใช้ระบบไต่สวนที่รัดกุม มีองค์คณะไต่สวนจากราชวิทยาลัยต่าง ๆ ร่วมกับอนุกรรมการจริยธรรมและสอบสวน โดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำเสนอพยานหลักฐานอย่างเต็มที่ และองค์คณะยังสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทนาย

“ระบบไต่สวนของแพทยสภา เป็นระบบที่รัดกุมที่สุดในประเทศ เพราะทุกคำตัดสินมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งประเทศ”

โดยย้ำว่า มติของแพทยสภานั้นมีที่มาจากเอกสารและข้อเท็จจริงเท่านั้น กรรมการไม่สามารถมี “ธง” หรือแนวทางล่วงหน้าได้ เพราะจะต้องพิจารณารายละเอียดทั้งหมดก่อนลงมติ

ชี้ มติแพทยสภา ย้ำภาพกระบวนการช่วยเหลือ ‘ทักษิณ’ ไม่ต้องติดคุก!

ขณะที่ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีนี้ว่า ในเชิงข้อเท็จจริง การที่แพทยสภาออกมาชี้ค่อนข้างชัด ว่า ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต ก็สมควรที่จะจบแล้ว ซึ่ง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดในสภาฯ ว่า ถึงที่สุดก็ให้แพทยสภาเป็นคนตัดสิน ฉะนั้น เมื่อไม่วิกฤต หรือความจำเป็นที่ ทักษิณจะต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลตำรวจต่อไป ก็จบแล้ว และหมายความว่า กระบวนการทั้งหมด ที่มีการนำทักษิณ​ ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเรื่องของการช่วยเหลือกัน เพื่อทำให้นายทักษิณ​ ไม่ติดคุก แต่ให้ไปอยู่สบาย ๆ ยังไม่นับ ข้อเท็จจริง ที่ห้องพยาบาล อาจจะเรียกว่า หรูหราเกินความจำเป็น ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ทักษิณได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าคนอื่น

รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน

ส่วนในแง่ของการที่จะลงโทษคนที่เกี่ยวข้องนั้น คนที่เป็นหมอ ก็คงจะอยู่ในกระบวนการว่า ทางแพทยสภา​ จะยืนยันกลับไปอีกครั้งหรือไม่ ภายหลังจากที่ สมศักดิ์​ วีโต้กลับมา ตนไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ แต่หวังว่า แพทยสภาจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยยึดเอาพยานหลักฐาน​ เพราะเป็นสิ่งที่เถียงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องของความเห็น และคิดไปถึงมาตรฐานในอนาคต ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้มี ทักษิณนอนอยู่ที่ชั้น 14 วันต่อไปจะเป็นใคร ต่อไปนี้หมอสามารถรับงานแบบนี้โดยที่ไม่สนใจกระบวนการยุติธรรม และเรื่องของวิชาชีพ ไปช่วยคนดัง คนมีอำนาจ ประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไร

“เรื่องความสง่างามของ นายสมศักดิ์ ที่ใช้กระบวนการวีโต้กลับมา เราทุกคนทราบว่า นายสมศักดิ์อยู่พรรคอะไร นายทักษิณมีอำนาจ มีอิทธิพลต่อใคร และเป็นพ่อของนายกรัฐมนตรี ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติม ให้กรณีชั้น 14 เป็นเรื่องของการช่วยเหลือพวกพ้อง ต้องยอมรับว่า กระบวนการช่วยเหลือทักษิณ ไม่อายฟ้าดิน ไม่ได้สนใจว่าประชาชนจะมองต่อปรากฏการณ์นี้อย่างไร และทำให้เกิดมาตรฐานที่เลวร้ายต่อไปเรื่อย ๆ ลำพังในอดีตที่มีนักโทษอภิสิทธิ์ชนก็แย่พอแล้ว วันนี้เรามาเจอนักโทษเทวดาในรูปแบบกระบวนการยุติธรรมของเรามันเหลือจะทน เราคงไปหวังพึ่งนายสมศักดิ์ไม่ได้แล้ว หากจะให้พูดง่าย ๆ สมศักดิ์มีหน้าที่ปกป้องนายใหญ่”

รังสิมันต์ โรม

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็คงต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการของศาล หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หวังว่า จะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ทำหน้าที่จนนำไปสู่การมีข้อครหา ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

แพทยสภาถูกจับตา ขออย่าให้ประชาชนหมดศรัทธาวิชาชีพแพทย์

รังสิมันต์ ยังบอกอีกว่า กระบวนการของ ป.ป.ช.ช้ามากเหลือเกิน นายกรัฐมนตรี ควรจะไปให้การได้แล้ว และควรมีการเรียก ทักษิณเข้าไปให้การได้แล้ว ตนมองว่า กระบวนการเร็วกว่านี้ได้ แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าเท่าไร

รังสิมันต์ เชื่อว่า สิ่งที่แพทยสภาจะทำเป็นสิ่งที่สังคมไทยจับตามอง หากสุดท้ายกลายเป็นกระบวนการช่วยเหลือ ทักษิณ สังคมไทยจะหมดศรัทธาในหมอไปมาก

“กรณีของนายทักษิณ ชัดยิ่งกว่าชัด พฤติกรรมของนายทักษิณ ตั้งแต่ที่ก่อนจะกลับมาประเทศไทย ถ้าจำกันได้ คุณอิ๊ง พูดชัดเจนว่า พ่อสบายดี มาถึงสนามบินก็ยิ้มแย้มแจ่มใส สามารถอุ้มหลานได้ ผ่านไป 10 ชั่วโมงในเรือนจำ นายทักษิณกลายเป็นคนที่ป่วยปางตาย ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ ยังไม่รวมข้อเท็จจริง เรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ ทุกองค์กรควรรู้ว่า การทำหน้าที่ของตนเอง นำมาซึ่งศรัทธาประชาชน”

รังสิมันต์ ยังบอกด้วยว่า วันนี้ในหลายภาคส่วน ก็ต้องยอมรับเรื่องปัญหาคอร์รัปชัน ความไร้ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนสูญสิ้นศรัทธาไปเยอะแล้ว หวังว่าหมอจะไม่ถูกนับรวมไปด้วย

ส่วนการวีโต้ในครั้งนี้ จะทำให้น้ำหนักในการนำไปเป็นพยานหลักฐานคดี ซึ่งจะมีการตัดสินในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หรือไม่ รังสิมันต์ ระบุว่า ตอบไม่ได้ ต้องไปดูในรายละเอียด สมศักดิ์ ก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเนื้อหาสาระของการวีโต้ ตนจึงตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วจะส่งผลอย่างไร แต่ก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ในเมื่อข้อเท็จจริงชัดว่า ทักษิณป่วยวิกฤตเป็นเรื่องเท็จ คงต้องรอดู หากสมศักดิ์​ ไม่ดำเนินการในการให้รายละเอียด คงต้องพิจารณาว่า คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนเป็นประธาน จะมีการพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active