เครือข่ายประชากรข้ามชาติ แนะไทยเปลี่ยนเกม ยืนยันหลักการคุ้มครองแรงงานทุกคน หลัง “ฮุนเซน” ประกาศให้แรงงานกัมพูชากลับบ้าน หวั่นแรงงานถูกบีบให้กลับ พร้อมขออย่าให้ “การเมือง” ลุกลาม เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ เหตุส่งผลกระทบทั้งภาคก่อสร้าง บริการ และภาคเกษตร
วันนี้ (15 มิ.ย.2568) ยังต้องจับตาไปที่ผลการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ของกัมพูชา ซึ่งมีรายงานการประชุมเมื่อวานนี้จาก กระทรวงการต่างประเทศว่า บรรยากาศการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี โดยทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มหารือกลุ่มเล็ก ก่อนการประชุม JBC แบบเต็มคณะ เพื่อหารือประเด็นด้านเทคนิคที่อยู่ในขอบเขตของการทำงานของ JBC
ส่วนกรณี ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ไทยยังคงยืนยันไม่รับเขตอำนาจของ ICJ ซึ่งเป็นไปตามที่ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันมาโดยตลอด และขอย้ำว่า ไทยต้องการแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว รวมถึงการหารือทางการทูต เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด
ฝ่ายไทยเชื่อว่า การพูดคุยจะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ ด้วยกลไก JBC ที่ผ่านมาสามารถแก้ไขปัญหาระหว่างกันได้อย่างดี นำไปสู่ความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา หลายจุด ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

‘ฮุนเซน’ ประกาศ ดึงแรงงานกลับบ้าน พร้อมมาตรการดูแล
แม้จะใกล้จบการเจรจา-กรอบการพูดคุย ทวิภาคี (JBC) และฝ่ายไทย ย้ำว่า บรรยากาศดีหวังลดความตรีงเครียด ในห้วงเวลาเดียวกัน ‘ฮุน เซน’ โพสต์เฟซบุ๊ก ให้แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ก่อนถูกทางการไทยขับไล่
สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในช่วงบ่ายวันที่ 14 มิ.ย.โดยเรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศก่อนที่ทางการไทยจะขับไล่ และรัฐบาลยอมให้เดินทางกลับไม่ว่าจะมีเอกสารหรือไม่
โดยระบุว่า “ผมพูดแบบนี้เพราะผมเข้าใจดีว่าข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา-ไทยจะยืดเยื้อไปอีกนาน โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อถึงเวลานั้น กลุ่มหัวรุนแรงไทยและกองทัพไทยจะพยายามทำร้ายพวกคุณ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
สุดท้ายฮุน เซน ได้อ้างอิงถึงคำสั่งของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ที่ระบุว่า “ในกรณีที่แรงงานกัมพูชาของเราเดินทางกลับจากประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม รัฐบาลได้เตรียมมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดไว้แล้วเพื่อแก้ไขและจัดการสถานการณ์”
กระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมอาชีวศึกษา พร้อมให้ความช่วยเหลือแรงงานที่กลับประเทศในการหางานทำภายในประเทศ โดยเขากล่าวว่าขณะนี้กัมพูชากำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานกว่า 70,000 คน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งเปิดโอกาสให้แรงงานกลับเข้าเป็นกำลังแรงงานในประเทศ
ข้อความดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นในโซเชียลมีเดียและการพูดคุยของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยและสถานะทางกฎหมายของคนงานชาวกัมพูชาในประเทศไทย หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการเมืองและภัยคุกคามจากการเนรเทศคนจำนวนมาก
ภาคก่อสร้าง,เกษตร,บริการ กระทบหนัก หากดึงแรงงานกัมพูชากลับบ้าน
แม้ว่า ทางการไทยจะยังไม่ได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับการส่งกลับประเทศอย่างเป็นทางการ แต่คำแถลงของฮุน มาเนตก็เน้นย้ำให้เห็นถึงจุดยืนเชิงรุกและการเตรียมพร้อมของรัฐบาลกัมพูชา ตามการประมาณการของกระทรวงแรงงาน พบว่า ชาวกัมพูชาทำงานในประเทศไทยเกือบ 1 ล้านคน
ซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง และบริการ โดยพบว่า หากแรงงานกัมพูชากลับบ้าน จะกระทบ ภาคการก่อสร้างหนักที่สุด อยู่ที่ 163,704 คน รองลงมาคือ ภาคการเกษตร 82,702 คน และ ภาคบริการ-ครัวเรือน 100,000 คน ซึ่งหากดูจากข้อมูลภาพรวมคนต่างด้านในประเทศไทย จาก “สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว สถิตจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือทั่วราชอนาณาจักร พ.ค.68” พบว่า คนข้ามชาติ 2,184,385 คน
- ภาคกลาง 607,241 คน
- กทม. 561,894 คน
- ปริมณฑล 532,436 คน
- ภาคใต้ 208,462 คน
- ภาคเหนือ 204,804 คน
- ภาคอีสาน 69,548 คน
- คนต่างด้าวตามมาตรา 59 จำนวน 828,929 คน (ประเภททั่วไป และนำเข้าตามMOU ประกอบดัวย สัญชาติเมียนมา, ลาว, กัมพูชา, และเวียดนาม ที่เข้ามาทำงานตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับ รัฐบาลประเทศคู่ภาคี) กลุ่มนี้มีประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กิจการก่อสร้าง, อาหารเครื่องดื่ม, กิจการต่อเนื่องเกษตร
- มาตรา 62 ส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายอื่น จำนวน 58,762 คน
ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย ผู้จัดการบริษัท, ผู้ปฏิบัติงานเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์, ผู้ประกอบวิชาชีพด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ - มาตรา 63/1 ชนกลุ่มน้อย จำนวน 98,241 คน
ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ แรงงานเหมืองแร่ ก่อสร้าง ผลิตและขนส่ง, ปฏิบัติงานในเหมือง, ผู้ให้บริการส่วนบุคคล และการบริการด้านความปลอดภัย - มาตรา 63/2 ตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,068,715 คน
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กิจการก่อสร้าง, การให้บริการ, เกษตร และปศุสัตว์ - มาตรา 64 ทำงานไป-กลับ หรือ ตามฤดูกาล จำนวน 27,942 คน
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เกษตรและปศุสัตว์, ผลิต หรือจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป, การให้บริการต่างๆ

เครือข่ายประชากรข้ามชาติ แนะ ก.แรงงาน เปลี่ยนเกม ยืนยัน หลักการคุ้มครองแรงงานทุกเชื้อชาติ
อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ไม่กังวลคนงานกัมพูชากลับบ้าน แต่กังวลอาจถูกบีบกลับ เพราะการประกาศแบบนี้มีความเป็นไปที่จะเกิดกระแสความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่งผลให้คนไทยกลุ่มหนึ่งอาจสวนกลับ มีภาวะเสี่ยงที่จะพุ่งเป้าไปที่แรงงานกัมพูชามากขึ้น อาจนำมาสู่การต่อต้านแรงงานข้ามชาติ และมีโอกาสที่จะปะทุความขัดแย้ง
“สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่คนกัมพูชาจะกลับบ้าน เพราะแม้รัฐบาลกัมพูชาจะสนับสนุนเต็มที่แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่ากลับไปแล้วจะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่ที่ประเทศไทย เพราะความต้องการแรงงานฝั่งไทยมีมากกว่ากัมพูชา ที่โครงการที่หลากหลายที่ยังต้องการแรงงาน และค่าจ้างก็ดึงดูดมากกว่า
แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ แรงงานกัมพูชา จะถูกบีบให้กลับหรือไม่ ?”
เครือข่ายฯ ประเมินว่าเวลานี้มีแรงงานกัมพูชาราว 7-8 แสนคน ส่วนใหญ่อยู่ในเขตก่อสร้าง ภาคการเกษตร และภาคบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่มีความสำคัญ แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าหาแรงงานเพิ่มได้ แต่ต้องไม่ลืมข้อจำกัด ณ ตอนนี้ที่ยังไม่สามารถนำแรงงานเมียนมาเข้ามาตามแนวทาง MOU ได้ ขณะที่แรงงานลาว และเวียดนามก็ยังมีจำกัด
- แนวทาง ณ เวลานี้ อาจจะต้องจดทะเบียนใหม่เพื่อดึงแรงงานเมียนมานอกระบบเข้าสู่ในระบบมากขึ้น แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงมิติอื่น เช่นการจัดการแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งก็ถือเป็นแนวทางที่ดีในช่วงที่สถานการณ์เมียนมายังไม่สงบ
- ส่วนแนวทางหาแรงงานเพิ่มเติมจาก ประเทศอื่น เช่น อินเดียใต้, บังคลาเทศ ยังถือว่า เป็นแนวทางที่ยังไม่ได้วางระบบไว้ จึงไม่สามารถเกิดขึ้นในระยะสั้นแน่นอน
- แนะ กระทรวงแรงงาน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ยืนยันว่า กระบวนการจ้างแรงงานกัมพูชายังมี และไทยดูแลคุ้มครองแรงงานทุกคน
อดิศร ย้ำว่า หากรัฐบาลยืนยันแบบนี้ กังวลคนมาเติมในระบบจะไม่มี ณ วันนี้แรงงานเมียนมา มีข้อจำกัดเรื่องการขึ้นทะเบียน, ลาว เวียดนาม ก็มีแรงงานไม่เพียงพอ แม้ไทยจะมีทางเลือกอื่น แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์จำนวนแรงงานในประเทศ จึงมองว่า รัฐบาล และกระทรวงแรงงาน จำเป็นต้องแสดงจุดยืนให้เรื่องนี้เป็นประเด็นการเมือง ที่ไม่ลุกลามไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และจำเป็นต้องลดกระแสความเกลียดชัง
เพราะตลอดช่วงเวลานี้ที่ผ่านมา “ฮุนเซน เป็นมวย มากกว่าฝ่ายไทย พยายามดึงและใช้คำว่าสันติ ดึงให้แรงงานกัมพูชา ถูกละเมิด ไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนเกม ให้คุณค่าแรงงาน ไม่ให้ลุกลามไปสู่ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ”