ย้ำต้องไม่มีใครตกหล่น ส่งรัฐมนตรีลงพื้นที่สำรวจก่อนชงมาตรการเยียวยาความเสียหายต่อ ครม.ขณะศูนย์พักพิงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทยอยปิด แต่ชาวบ้านยังกังวลกับสถานการณ์ เหตุล่าสุด ทหารเหยียบกับระเบิดเพิ่ม
วันนี้ (10 ส.ค. 2568) ผู้สื่อข่าว Thai PBS รายงานสถานการณ์พื้นที่บริเวณชายแดนไทยกัมพูชาว่า ศูนย์พักพิงชั่วคราวในจังหวัดสุรินทร์เริ่มทยอยปิดให้บริการแล้ว หลังที่ประชุม GBC บรรลุข้อตกลงหยุดยิง และสถานการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยชาวบ้านทยอยกลับเข้าสู่บ้านเรือน หลังต้องอพยพออกไปอยู่นอกพื้นที่นานกว่า 2 สัปดาห์ แต่ก็ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนอยู่ เนื่องจากเมื่อวานนี้มีทหารบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดเพิ่มอีก 3 นาย
ส่วนพื้นที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่แนวชายแดน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุปะทะระหว่างไทย–กัมพูชา แม้ชาวบ้านส่วนใหญ่ เริ่มทยอยกลับเข้าบ้านแล้ว และมีการสำรวจความเสียหายไปแล้วกว่า 70% แต่ยังเหลือการตรวจสอบพื้นที่การเกษตร ที่เป็นรายได้หลักของครัวเรือนในชุมชน บางคนไม่กล้าที่จะเข้าไปสำรวจความเสียหายของผลผลิต เพราะบางพื้นที่ยังไม่ได้ เก็บกู้กระสุนที่ยังไม่ทำงาน
แม้สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังไม่น่าไว้วางใจ แต่เรื่องปากท้องของชาวบ้านก็สำคัญ เขตตัวเมืองอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พบว่าบรรยากาศเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา หลังชาวบ้านในพื้นที่สีแดง บางส่วนกลับเข้าบ้าน
แม้หลายหมู่บ้านยังอยู่ในเขตเสี่ยงกระสุนตก แต่ด้วยภาระหนี้สินและการทำมาหากิน ทำให้ชาวบ้านต้องยอมเสี่ยง และกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติอีกครั้ง พบว่าปัจจุบันร้านค้ากว่า 80% เปิดให้บริการแล้ว ขณะที่อีกราว 20% เช่น ร้านสะดวกซื้อ สถานพยาบาลเอกชน และร้านค้าทั่วไป ยังคงปิดเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์
ขณะเดียวกัน ศูนย์พักพิงบางแห่งยังเปิดรองรับผู้ที่ยังไม่สามารถกลับบ้านได้ พร้อมเตรียมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยนอก
เหตุปะทะตามแนวชายแดนทำให้มีชาวอุบลราชธานีอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวในอำเภอเดชอุดมกว่า 10,000 คน ในจำนวนนี้ มีผู้เสียชีวิต 1 คน คือหญิงวัย 63 ปี สัญชาติลาว ซึ่งไม่ได้รับเงินชดเชย 8 ล้านบาทตามหลักเกณฑ์สำนักนายกรัฐมนตรี แต่ได้รับค่าจัดการ ศพจากกระทรวงยุติธรรมและกองทัพไทยรวมราว 80,000 บาท
ส่วนบ้านเรือนที่เสียหายจากเหตุปะทะมี 129 หลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายใหม่ ก่อนเสนออำเภอเพื่อ จัดซื้อวัสดุซ่อมแซม หรือก่อสร้างบ้านต่อไป
ในทางฝั่งของรัฐบาล วันนี้ (10 สิงหาคม 2568) ก็ออกมาย้ำถึงมาตรการเยียวยา เหตุปะทะไทย – กัมพูชา ว่าต้องไม่มีใครตกหล่น
โดย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ในกรณีผู้เสียชีวิตที่เป็นประชาชนทั่วไปคนละ 8 ล้านบาท และข้าราชการทหาร-ตำรวจ คนละ 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบในระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบาดเจ็บสาหัส บาดเจ็บเล็กน้อย ทุพพลภาพ ก็จะได้รับการเยียวยาเช่นกัน โดยไม่มีการตกหล่นจากมาตรการเยียวยาดังกล่าวอย่างแน่นอน
จิรายุ ระบุว่า นอกจากมาตรการตามมติ ครม.ดังกล่าวแล้ว หน่วยงานราชการต้นสังกัดอย่าง กระทรวงกลาโหม จะดูแลครอบครัวญาติพี่น้องของข้าราชการทหารที่เสียชีวิต ให้ได้รับสวัสดิการต่าง ๆ สิทธิการรับราชการเป็นกรณีพิเศษ เพื่อตอบแทนคุณความดีที่ได้เสียสละชีวิตรักษาอธิปไตยของประเทศ

สำหรับการเยียวยาบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายนั้น การลงพื้นที่ของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดสุรินทร์วานนี้ เป็นการเดินทางลงไปทำงานกับท้องถิ่นโดยตรง เพื่อรับฟังข้อมูล ข้อเสนอแนะ ทั้งจากประชาชน และผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อนำมากำหนดแนวทางการเยียวยา ทั้งในด้านความเสียหายทางการเกษตร ปศุสัตว์ และบ้านเรือนของประชาชน เพื่อรวบรวมกำหนดออกเป็นรายละเอียดในการเยียวยาครั้งที่สอง ในส่วนทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มอบหมาย 7 รัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ปชช.ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้งหมด 12 แห่ง 4 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี เพื่อเร่งรัดมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.68) อาทิ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ และวันนี้ อาทิตย์ที่ 10 ส.ค. 68 นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี
“สำหรับเรื่องการเยียวยา ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ อ.กันทรลักษณ์ ที่ได้รับความเสียหายจากผลกระทบการยิงระเบิด BM-21 จากฝั่งกัมพูชานั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้แจ้งว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาวะสงคราม เป็นเหตุการณ์ปะทะตามชายแดนเท่านั้น ดังนั้น บริษัทประกันฯ จะปฏิเสธการคุ้มครอง ไม่ได้ ต้องรับผิดชอบเยียวยาผู้เสียหายที่ได้ทำประกัน สำหรับประชาชนคนใด ที่ได้ทำประกันภัยไว้ ขอให้เร่งตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของตนอีกครั้ง”
ด้านมาตรการเยียวยาของกระทรวงการคลัง ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ออก 3 มาตรการภาษี ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้ง 7 จังหวัด (ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ให้กับประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ต้องชำระภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์
โดย 3 มาตรการสำคัญ มีดังนี้
1. ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีทุกประเภท ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมถึงการขยายเวลาการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ที่มีกำหนดการดำเนินการระหว่างวันที่ 24 ก.ค. -29 ก.ย.2568 ออกไปเป็นวันที่ 30 ก.ย.2568 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียภาษีในพื้นที่
2. มาตรการลดหย่อนภาษีค่าซ่อมแซม แบ่งออกเป็นค่าซ่อมแซมบ้าน สามารถนำค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. -31 ธ.ค. 2568 มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ค่าซ่อมแซมรถ สามารถนำค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. -31 ธ.ค.2568 มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท
3. ยกเว้นภาษีสำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยา โดยกรมสรรพากรจะออกประกาศยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยาที่ผู้ได้รับผลกระทบได้รับ ดังนี้ เงินเยียวยาที่ได้รับจากรัฐบาล เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือช่วยเหลือ ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมายในปัจจุบัน