ไทยประณามกัมพูชาอีกรอบ หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิด 3 นาย ด้านผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศชี้อาจยังไม่พอ แจงขั้นตอนไทยโต้กลับในเวทีโลก ใช้หลักฐานกดดันกัมพูชา ตั้งข้อสังเกตไทยยังขาดผู้นำที่กำหนดแนวทางที่ชัดเจน
กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 เรื่องการประท้วงต่อเหตุการณ์ครั้งที่ 3 ในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยเนื้อหาระบุว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 111 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในดินแดนของไทยในพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเรียบร้อยแล้ว ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น หลักฐานทุ่นระเบิดที่พบสอดคล้องกับผลการตรวจสอบการพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกองทัพบกก่อนหน้านี้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ ดังนั้น การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่นี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และนับเป็นครั้งที่ 3 ที่กองกำลังไทยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือนจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
รัฐบาลไทย ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างชัดเจน ไทยอยู่ระหว่างการมีหนังสือประท้วงเรื่องดังกล่าวไปยังกัมพูชา และประธานอนุสัญญาฯ
การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการตามมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ไทยจึงขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาหยุดการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาฯ โดยทันที และให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี และตามที่ฝ่ายไทยได้เสนอต่อที่ประชุม GBC ที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ตอบสนอง
จากกรณีนี้ The Active ได้พูดคุยกับ ผศ.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงการดำเนินการหลังจากนี้ ไทยจะสามารถยื่นเรื่องในเวทีโลกได้อย่างไร และการรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่นั้นเพียงพอหรือไม่
ผศ.ธนภัทร บอกว่า เมื่อศึกษาในรายละเอียดแล้วจะเห็นภาพค่อนข้างเยอะพอสมควร อย่างกองทัพของไทยก็รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็มีการรายงานเรื่องของบริเวณสถานที่ค่อนข้างชัดเจนก็คือบริเวณภูมะเขือ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการได้รับบาดเจ็บของทหารฝ่ายไทย
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือกระทรวงการต่างประเทศได้มีแถลงการณ์เหมือนกับว่าเป็นการประณามการใช้ทุนระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งอยู่ระหว่างการแจ้งหนังสือประท้วงไปกัมพูชา และประธานอนุสัญญาออตตาวา
แต่การดำเนินการเท่านี้คงไม่เพียงพอ จึงมองว่าขั้นตอนที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการต่อคือ
1. ยื่นหนังสือประท้วงทางการทูตต่อรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการ และอาจจะต้องมีการแนบรายงานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้ง ลักษณะทุ่นระเบิดที่ค่อนข้างชัดเจน หรืออาจจะมีการใช้ภาพเปรียบเทียบ สมมติว่าทุ่นระเบิดเป็นประเภทเดียวกันกับที่กัมพูชาเพิ่งโพสต์รูปหลุดออกมาก็จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนว่ามันเป็นระเบิดใหม่ แล้วก็มีการรายการหลักฐานที่ชี้แจงชัดเจนว่าทุ่นระเบิดที่มีการวางเป็นทุ่นระเบิดที่อยู่ในความครอบครองของกัมพูชา
2. พอมีการแจ้งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาแล้ว อาจจะต้องเสนอให้มีการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยหน่วยงานด้านต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการกาชาดระหว่างประเทศหรือหน่วยงานที่ทำเรื่องของการกอบกู้ทุ่นระเบิดขององค์การสหประชาชาติ เพื่อสอบสวนว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นหน่วยงานกลาง และน่าเชื่อถือที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายไทยอย่างเดียว
3. ตอนนี้เรามีการพูดคุยอยู่ภายใต้กรอบทวิภาคี คือตัว GBC และ RBC โดยมีอาเซียนที่เป็นพหุภาคีระดับภูมิภาคเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์หรือ หรือการที่มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา จีน เข้ามาสังเกตการณ์ระหว่างการประชุม GBC ครั้งที่ผ่านมา ไทยอาจใช้โอกาสนี้แจ้งหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย เพื่อเพิ่มแรงกดดันทางการเมือง สร้างกลไกในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
4. รัฐบาลจะต้องดำเนินการแจ้งต่อภาคีของอนุสัญญาออตตาวา อาจนอกเหนือไปจากตัวประธาน แต่อาจต้องแจ้งไปยังประเทศที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก ที่สนับสนุนงบประมาณในการกอบกู้ทุ่นระเบิดให้กับกัมพูชา โดยพิจารณาว่า กัมพูชาได้รับเงินสนับสนุนจากไหน เข้าใจว่าเป็น ญี่ปุ่น นอร์เวย์ เพื่อให้พิจารณาว่า จะยังให้การสนับสนุนทางกัมพูชาต่อไปหรือไม่
5. การแจ้งต่อหน่วยงานที่เป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีสมาชิกจำนวนมาก โดยต้องทำผ่านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ที่ผ่านมากัมพูชาเคยแจ้ง แต่ว่าในส่วนของประเทศไทยเองไม่เคยยื่นเรื่องไปที่ UNSC หรือแม้กระทั่งสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) ในการที่จะประณามการกระทำดังกล่าว อาจต้องถึงเวลาที่ไทยต้องแจ้งเรื่องนี้ให้มีความชัดเจน
6. ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของประเทศไทยว่าจะดำเนินการหรือไม่ คือการส่งข้อมูลให้กับพนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) หรือ ICC เพื่อให้มีการพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมสงครามหรือไม่
“ตามมาตรา 8 (2) (b) ของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งระบุทำนองว่า ถ้าเป็นการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย เพราะการใช้ทุ่นระเบิดใครก็มาเหยียบได้ ดังนั้น อาจจะเป็นทหารหรือพลเรือน การโจมตีไม่เลือกเป้าหมายก็เข้าข่ายของอาชญากรรมสงครามเหมือนกัน ซึ่งกัมพูชาเป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ International Criminal Court หรือ ICC อยู่แล้ว ดังนั้น ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาคือสิ่งที่ไทยทำได้”
ส่วนการใช้กลไกอาเซียนให้เข้ามามีบทบาทคลี่คลายเรื่องนี้นั้น ผศ.ธนภัทร ให้ความเห็นว่า ในเร็วๆ นี้จะมีการประชุม RBC เป็นการประชุมระดับแม่ทัพภาคที่จะมาพูดคุยกัน รายละเอียดพวกนี้อาจจะต้องเข้ามาพูดคุยให้มันมีความชัดเจนมากขึ้น สำหรับอาเซียน มองว่า ยังเป็นเวทีกลางที่ทำให้ 2 ชาติสามารถมาพูดคุยกันได้ภายใต้กรอบทวิภาคีโดยการใช้พื้นที่ของอาเซียน อาจจะไปที่มาเลเซียอีกครั้งหรือไม่ ในการที่จะไปพูดคุยระหว่างกันว่ามีข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แล้วจะดำเนินการยอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ส่วนตัวคิดว่าอาเซียนยังไม่ควรจะมีบทบาทเข้ามาแทรกแซงหรือแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกากับจีนเองก็ยังคงต้องรักษาบทบาทในฐานะการเป็นผู้สังเกตการณ์
การที่มีประเทศมหาอำนาจมาเป็นผู้สังเกตการณ์ มองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องดูบทบาทประเทศเหล่านี้ให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งมีอำนาจในการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ดังนั้น ประเทศไทยยังทำดีอยู่ในแง่ที่ว่ารักษาบทบาทรักษาระยะห่างของมาเลเซีย สหรัฐฯและจีนไม่ให้เข้ามามีบทบาทในเรื่องของความสัมพันธ์ในการเจรจาระหว่างข้อพิพาทระหว่าง 2 รัฐ
ผศ.ธนภัทร ยังตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของกัมพูชาเวลานี้ ที่เหมือนพยายามให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งในสังคมระหว่างประเทศก็อาจถูกมองว่า อาจมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่ ในการที่จะสร้างฐานอำนาจบางอย่างในภูมิภาค ซึ่งเชื่อว่าประเด็นนี้ แม้แต่สหรัฐฯ เองก็น่าจะพอเห็นภาพว่ากัมพูชาพยายามที่จะทำอะไรอยู่
ส่วนข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ผศ.ธนภัทร มองว่า เวลานี้ไทยค่อนข้างได้เปรียบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูล หลักฐานที่ สามารถเก็บได้เองในเชิงพื้นที่ เช่น จากภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่าย วิดีโอ แล้วก็เอกสารอีกส่วนใหญ่ ที่เป็นการเผยแพร่มาจากฝั่งกัมพูชาเอง แต่ตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการของไทยเวลานี้ หลายอย่าง ยังขาดผู้ที่จะตัดสินใจชี้ขาดได้
“สิ่งที่ไทยดำเนินการหลายอย่างในเวลานี้ ค่อนข้างขาดผู้ที่จะสามารถเป็นคนชี้ได้ว่าเราจะดำเนินการยื่นหรือไม่ยื่น เพราะว่าตอนนี้ฝั่งรัฐบาลเองก็ไม่ได้ฟันมาตรง ๆ ว่าให้ยื่น แต่ฝั่งรัฐบาลบอกว่าให้ไปศึกษาเพื่อเตรียมที่จะยื่น แล้วก็สิ่งที่รัฐบาลของประเทศไทยพยายามที่จะยื่นกลับกลายเป็นว่าจะยื่นในลักษณะการฟ้องภายในประเทศ ซึ่งโดยสภาพทุกคนก็ทราบกันดีว่าการฟ้องในประเทศอาจจะไม่ได้มีพลังต่อกัมพูชาหรือทำให้กัมพูชาสามารถนำไปบังคับให้เป็นคำพิพากษาในประเทศได้”
เพราะฉะนั้น จุดนี้อาจเป็นจุดที่ไทยต้องระมัดระวัง แล้วก็ต้องมีผู้นำที่สามารถอธิบาย หรือ กำหนดทิศทางให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร