เครือข่าย Con for all ชี้ ‘ประชาชน’ หนุน ‘ภูมิใจไทย’ ปล่อยเสือเข้าป่า ชวนจับตา แก้รัฐธรรมนูญ – คดีโกง สว. หากไม่เกิดขึ้น อาจมี กกต. ชุดใหม่ เลือกโดย สว.สีน้ำเงิน กรุยทางรอจัดเลือกตั้ง หวั่นท่าที ‘อนุทิน – ภูมิใจไทย’ ไม่เป็นคุณต่อการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ นักรัฐศาสตร์ เชื่อ “อยู่สั้น เพื่ออยู่ยาว” เติมเต็มส่วนที่ขาด หวังปักธง กทม. สส.เกิน 100 ที่นั่ง เลือกตั้งรอบหน้า
รศ.ยุทธพร อิสรชัย จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้ความเห็นในรายการ Flash Talk EP.71 “การเมืองไทย บนทางแพร่ง : โหวตนายกฯ-ยุบสภา-แก้ รธน. ?” ถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย หลัง อนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 โดยวิเคราะห์ว่า พรรคภูมิใจไทย มีโอกาสเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้เหมือนกัน เพราะเซ็น MOA กับ พรรคประชาชน เพียงพรรคเดียว แต่ไม่ได้เซ็นข้อตกลงนี้กับพรรคอื่น ๆ

เชื่อมองไกล ‘อยู่สั้น เพื่ออยู่ยาว’ ปักธงเลือกตั้ง
ขณะที่เงื่อนไขรัฐธรรมนูญ 2560 ก็เอื้ออำนวยให้เกิด งูเห่า จึงมีความกังวลว่า พรรคประชาชน จะตีเช็กเปล่า เพราะพรรคภูมิใจไทย มีความพร้อมที่จะเป็นรัฐบาลได้ทันทีมานานแล้ว และเป็นไปได้ที่จะอยู่ยาว เพียงแต่ต้องการใช้ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อยู่เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด หรือวางกลไกในระยะสั้น เพื่ออยู่ยาวในอนาคต เช่น การเตรียมเป็น พรรคแกนนำ ซึ่งต้องอาศัยที่นั่ง สส. เกิน 100 ที่นั่ง, การปักธง มีที่นั่งใน กทม.เพราะสภาพความจริง เสียงคน กทม. ดังกว่าต่างจังหวัด จนมีคนกล่าวว่า “คนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนในกรุงเทพฯ ไล่รัฐบาล”
ท้ายที่สุดรัฐบาลจะไม่ได้เดินด้วยพรรคการเมือง แต่เดินด้วยกลุ่มการเมือง เพราะมีบทบัญญัติที่เอื้อให้เกิดงูเห่า แจกกล้วย เกิดเป็นวลี “พรรคเดียวกันแต่คนละพวก พวกเดียวกัน แต่คนละพรรค” สะท้อนว่าไม่แปลกที่จะมีสายสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ในที่สุดแล้วต้องเปิดเผย โปร่งใสต่อประชาชน เพราะอย่าลืมว่ากำลังใช้อำนาจสาธารณะ

หวั่นท่าที ‘อนุทิน – ภูมิใจไทย’ ไม่เป็นคุณต่อการแก้รัฐธรรมนูญ
ขณะที่ ณัชปกร นามเมือง เครือข่าย Con for all ยอมรับเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจในการตัดสินใจของพรรคประชาชนว่าทำไมต้องรีบร้อน หากจุดยืนเป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ควรรอวันที่ 10 ก.ย. 2568 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเกี่ยวกับการทำประชามติ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเงื่อนไข แก้รัฐธรรมนูญใหม่ ของพรรคประชาชนโดยตรง โดยต้องจับตา ว่า
- ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้มีการทำประชามติ 3 ครั้ง (กรอบเวลา 4 เดือน ตามข้อตกลง MOA น่าจะมีเวลาไปถึงการทำ “ประชามติครั้งแรก” แล้วเสร็จ)
- ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้มีการทำประชามติ 2 ครั้ง (ใช้เวลาน้อยกว่า)
- หรืออาจมีอีกกรณี คือ ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่วินิจฉัย ก็เป็นไปได้ เรื่องนี้ก็ถูกนำกลับมาถกเถียงกันในสภาฯ ต่อว่า จะมีการลงประชามติกันกี่ครั้ง (ซึ่งจุดยืนเดิมของพรรคภูมิใจไทย ที่เคยวอล์คเอาท์ ช่วงเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เคยเสนอการทำประชามติ 3 ครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องลงความเห็นไปที่การทำประชามติ 3 ครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าการทำประชามติ 3 ครั้งจะช้ากว่า)

ขณะที่ MOA ข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ณัชปกร ก็ยังมองว่า ไม่มีความชัดเจน และ พรรคภูมิใจไทยไม่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบว่า การแก้ร่างรัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่ ?
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย อาจจะไปตั้งคำถามประชามติที่ไม่ดีก็ได้ ? หรือ จะไปเลือกช่วงเวลาการทำประชามติ ภายใต้กฎเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น Double majority (อธิบายง่าย ๆ คือ ทำให้การผ่านประชามติมีความยากมากขึ้น) และเมื่อคิดบนฐานที่ยังไม่รู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยอย่างไรในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ก็เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกหลวม ก็จะหลวมทั้งหมด
ทั้งนี้หากดูโดยประวัติ พรรคภูมิใจไทย ก็อาจไม่มีจุดยืนที่เป็นคุณ กับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เลย ขวางทั้งในชั้น สส. และ สว. ขณะเดียวกันการประคองเสียงข้างน้อย ต้องอยู่เพื่อบรรลุภารกิจบางอย่างเท่านั้น 4 เดือน ไม่น้อยที่จะทำผลงานบางอย่าง อาจจะรักษาสัญญาก็ได้ แต่ก็มีความกังวลว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชน คือ การปล่อยเสือเข้าป่า เพราะ หาก อนุทิน ไม่ทำตามข้อตกลง เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ กับ คดีโกง สว.ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมา คือ สว.ชุดนี้ กำลังจะเลือก กกต.ชุดใหม่ ซึ่งจะมี กกต. 5 คน ที่มาจาก สว.สีน้ำเงิน ที่พร้อมจัดการเลือกตั้งรอ อนุทิน
“ผมคิดว่าเราต้องช่วยกันรักษาเสถียรภาพเสียงข้างน้อยให้ได้ จำเป็นต้องส่งเสียงถึงเพื่อไทย ไม่ให้ สส.ไหลไปถึงพรรคภูมิใจไทย ประชาชนต้องขู่ให้ดังว่า สส.งูเห่า รอบหน้าเราไม่เลือก”
ณัชปกร นามเมือง