‘นักรัฐศาสตร์ มศว’ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเปิดทางสู่การแก้ รธน. และยุบสภาภายใน 4 เดือน ภายใต้การนำของ ‘อนุทิน’ และภูมิใจไทย พร้อมชวนประชาชนจับตาบทบาทฝ่ายค้านเสียงข้างมาก กับเงื่อนไขอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกบันทึกข้อตกลง
การเมืองไทยกำลังนับถอยหลังสู่ 4 เดือนสำคัญ ภายใต้รัฐบาลใหม่ของ อนุทิน ชาญวีรกูล และ พรรคภูมิใจไทย ที่ขึ้นมาเป็นแกนนำตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงกับพรรคประชาชน แม้จะประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและความซับซ้อนทางการเมือง ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองว่าผลลัพธ์อาจไม่ใช่การเลือกตั้งใหม่ แต่เป็นการลากยาวจนถึงปี 2570 ก็เป็นได้
ภายใต้โครงสร้างทางการเมืองที่เปราะบาง ตั้งแต่บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในการปลดนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงกลไกรัฐสภาอย่างวุฒิสภาที่ขาดการยึดโยงกับประชาชน ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญปี 2560 และได้กลายเป็นดีลทางการเมือง เมื่อพรรคประชาชน เลือกที่จะ “กลืนเลือด” แลกเสียง 143 สส. เพื่อโหวตให้นายกรัฐมนตรีจากพรรคใดก็ได้ แลกกับคำมั่นสัญญาที่จะเดินหน้าสู่การแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยมีเส้นทางคร่าว ๆ ดังนี้
- โปรดเกล้าและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
- คณะรัฐมนตรีชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา (ต้องมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ)
- เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้ง ให้เสร็จภายในวาระสภาชุดนี้ (ในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญ)
- เร่งดำเนินการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
- หากละเมิด MOA จะเข้าสู่การพิจารณาเพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีฝ่ายค้านเสียงข้างมาก กำกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน ภายใต้บันทึกความร่วมมือ (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ที่กำหนดให้แก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาภายใน 4 เดือน จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สังคมกำลังจับตา ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้านถึงความเหมาะสม แต่คำถามสำคัญคือ หลังจากนี้ 4 เดือน การเมืองไทยจะเดินไปทิศทางใด และประชาชนต้องจับตาในเรื่องใดบ้าง?
แก้รัฐธรรมนูญ สู่ยุบสภา ภายใน 4 เดือน เป็นไปได้?
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้สัมภาษณ์ The Active ว่า การจะบรรลุเงื่อนไขดังกล่าวภายในเวลาเพียง 4 เดือน เป็นไปได้ยาก เพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนจำนวนมากที่อาจทำให้กระบวนการยืดเยื้อ แม้พรรคภูมิใจไทยจะยืนยันตามสัญญา แต่ในความเป็นจริง กว่าที่จะนำไปสู่การยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ย่อมมีเงื่อนไขไม่คาดคิดเข้ามากระทบ ทั้งด้านการเมือง สถานการณ์ในสภา และปัญหาภายนอกระบบที่อาจทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องอยู่ต่อไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ผลลัพธ์อาจไม่ใช่การยุบสภา แต่เป็นการอยู่ครบวาระไปจนถึงปี 2570 ด้วยซ้ำ
ในระหว่าง 4 เดือนนี้ หากรัฐบาลเดินหน้าได้จริง สิ่งที่น่าจับตาคือ การเร่งผลักดันนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ทั้งการฟื้นประเด็นกัญชาเสรี หรือนโยบายที่เคยถูกปัดตกในอดีต ซึ่งการที่ภูมิใจไทยก้าวขึ้นมาเป็นพรรคแกนนำ อาจทำให้สามารถกำกับระบบราชการและกลไกนโยบายได้เข้มแข็งกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผศ.ศิวพล ย้ำว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่า เป็นไปได้ยากที่จะยุบสภาตามสัญญา
หัวใจสำคัญของ MOA อยู่ที่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่โจทย์คือ จะแก้ในส่วนใด? หากเป็นประเด็นการตัดอำนาจของวุฒิสภา ย่อมเผชิญแรงเสียดทานสูง และเป็นไปได้ยากที่จะสำเร็จภายใน 4 เดือน การแก้รัฐธรรมนูญจึงไม่น่าจะเสร็จสิ้นเร็ว แต่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการแสดงความจริงใจ โดยการเริ่มต้นกระบวนการอย่างชัดเจน เพื่อให้เป็นหมุดหมายแรกที่จะต่อยอดต่อไป
นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องอำนาจในการยุบสภา ซึ่งในอดีตถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองล่าสุด โดยเฉพาะกรณีสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ ทำให้เกิดคำถามใหม่ว่า อำนาจดังกล่าวตกอยู่ในมือใคร ระหว่างนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญ หรือกลไกอื่น ๆ ประเด็นนี้จำเป็นต้องได้รับการทำให้ชัดเจน
สิ่งที่ต้องจับตาใน 4 เดือน
ผศ.ศิวพล ระบุว่า สิ่งแรกที่ประชาชนควรร่วมกันจับตามอง คือ พฤติกรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี คาดว่าพรรคภูมิใจไทยจะครองสัดส่วนเกือบ 60% ขณะที่พรรคเพื่อไทยจะไม่อยู่ในสมการนี้ ทำให้ต้องหันไปดึงพรรคขนาดเล็ก หรือแม้แต่บุคคลจากพรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ เข้าร่วมรัฐบาล จึงต้องติดตามว่า การจัดสรรตำแหน่งจะยึดโยงกับผลประโยชน์แบบใด
อีกด้านหนึ่ง คือ ทิศทางของนโยบาย ที่อาจสะท้อนความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นแนวคิดชาตินิยม การธำรงสิ่งที่เป็นอยู่เดิม หรือการใช้กัญชาเสรีเป็นประเด็นเรียกคะแนนเสียง หากรัฐบาลเดินกลับไปในทิศทางนี้จริง ย่อมเป็นสัญญาณของการขยับขั้วไปสู่ฝ่ายขวา ในระยะสั้น จึงต้องติดตามว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร แก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชนได้จริงหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือ การเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ MOA กำหนด จะมีความคืบหน้าชัดเจนหรือไม่
ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก คุมรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้จริงไหม?
ผศ.ศิวพล ชี้ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายรัฐบาล การที่ภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมขึ้นมามีอำนาจ ย่อมทำให้ทุกกลไกทางการเมืองเป็นไปตามล็อกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา ยังสะท้อนให้เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยมักยืนอยู่ข้างฝ่ายอำนาจเดิม ทำให้ยากที่ฝ่ายค้านจะมั่นใจในเสถียรภาพของเสียงตัวเอง หรือเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถคานอำนาจรัฐบาลได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะจับมือกันทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างแข็งแกร่ง ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจ หากทั้งสองสามารถร่วมมือกันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็อาจนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลได้เป็นครั้งแรก เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีศัตรูร่วม ที่ทำให้ผลประโยชน์ตรงกัน แม้จะมีความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยในอดีต แต่สถานการณ์ปัจจุบันอาจบีบให้ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาคือ ถ้าหากวันหนึ่งพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนสิ้นสุด MOA ท่าทีของพรรคประชาชนจะตอบสนองอย่างไร? ในขณะที่วันนี้เราเห็นคนของเพื่อไทยโหวตให้คุณอนุทิน ทั้งที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ MOA ก็ทำให้น่าตั้งคำถามถึงความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้านด้วยเช่นกัน”
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์

ผิดแค่ไหนถึงควรยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ?
ประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้ระบุอยู่ในบันทึกข้อตกลง (MOA) ที่กำหนดกรอบเวลา 4 เดือนสำหรับการยุบสภาโดยตรง แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง เช่น การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ก่อให้เกิดข้อกังขา หรือพฤติกรรมบางอย่างที่นำไปสู่ความไม่โปร่งใส ตามกระบวนการปกติ รัฐบาลใหม่ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน จึงจะมีกรอบเวลาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ โดยทั่วไปต้องให้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนหลังการแถลงนโยบาย เมื่อรวมกับกรอบการประชุมสภาแล้ว การดำเนินการให้ครบวงจรภายใน 4 เดือนถือว่ากระชั้นชิดมาก
การนับเวลาถอยหลัง 4 เดือน เริ่มตั้งแต่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จากนั้นก็ให้เวลารัฐบาลทำงานสักเดือนหนึ่ง พร้อมกับการเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังไม่นับกรณีคดี 44 สส. พรรคประชาชนที่อยู่ในขั้นพิจารณา แล้วถ้ามีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก นี่จะเป็น 4 เดือนที่เกมการเมืองฝุ่นตลบมาก อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบที่พรรคภูมิใจไทยสามารถควบคุมกลไกของรัฐได้แทบทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย คมนาคม ไปจนถึงการมีอิทธิพลต่อท้องถิ่นและวุฒิสภา ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้อาจทำให้การเมืองในระยะสั้นอยู่ในมือรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน
“ปกติแล้วจะมีกรอบเวลาให้รัฐบาลบริหารงานก่อนถึงจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ต้องแถลงนโยบายก่อน แล้วให้โอกาสสักเดือนหนึ่ง แต่ถ้าจะเดินไปถึงขั้นอภิปราย แล้วตามด้วยการยุบสภาในเดือนที่ 4 มันถือว่ากระชั้นมาก ๆ ระยะเวลานี้บีบให้เหตุการณ์ทางการเมืองต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งรัด”
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์
การเมืองสามก๊ก สู่การเลือกตั้งครั้งถัดไป
สำหรับการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569 ผศ.ศิวพล เห็นว่าปัจจัยสำคัญคือการปรับกระบวนทัศน์ของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมา พรรคสูญเสียทั้งภาพลักษณ์และบุคลากรสำคัญหลายราย ขณะเดียวกันกระแสชาตินิยมที่ปะทุจากประเด็นความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ก็ซ้ำเติมให้ฐานสนับสนุนบางส่วนเสื่อมถอยลง
โจทย์สำคัญของพรรคเพื่อไทยคือการฟื้นความเชื่อมั่น และการคัดเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งคาดว่า ชัยเกษม นิติสิริ จะไม่อยู่ในสมการ ขณะที่บุคคลในตระกูลชินวัตรเองก็ดูจะหมดบทบาทลงอย่างต่อเนื่อง หากพรรคไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ใหม่ได้ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถกลับมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งได้อีก
ในอีกด้าน พรรคประชาชนแม้จะสูญเสียศรัทธาจากเหตุการณ์บางช่วง แต่ยังคงมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น และอาจใช้เงื่อนไขรัฐธรรมนูญใหม่เป็นจังหวะในการผลักดันนายกรัฐมนตรีจากพรรคตนเอง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยยังมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงในการเลือกตั้งครั้งหน้า
พรรคเล็กและพรรคกลางจำนวนมากอาจถูกบีบให้เลือกข้าง หรือรวมตัวเข้ากับพรรคใหญ่ เพื่อรักษาที่ทางทางการเมือง ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติถูกมองว่าใกล้หมดบทบาท ขาดแคนดิเดตที่แข็งแรง และมีแนวโน้มที่จะถูกดูดซับเข้าสู่พรรคภูมิใจไทย สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีฐานเสียงบางส่วนในภาคใต้ แต่ภาพรวมถือว่าอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน หากไม่สามารถสร้างแคมเปญหรือปรับภาพลักษณ์ใหม่ได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะถอยหลังจากบทบาทพรรคการเมืองหลัก
เมื่อมองไปข้างหน้า การเมืองไทยมีแนวโน้มจะเข้าสู่สมรภูมิ “สามก๊ก” ที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ได้แก่ พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคหลักที่ขยายฐานเสียงต่อเนื่อง พรรคเพื่อไทยที่ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์ และพรรคประชาชนที่พยายามสร้างความชัดเจนและยืนหยัดในฐานะทางเลือกใหม่ ส่วนพรรคเล็กและพรรคเก่า จะค่อย ๆ หมดบทบาทลง ผศ.ศิวพล สรุปว่า บรรยากาศการเมืองหลังปี 2566 แตกต่างจากเดิม เพราะไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อขับไล่ผู้นำเผด็จการเก่าอีกต่อไป แต่เป็นการหาทางออกว่า พรรคการเมืองใดจะสามารถนำพาสังคมไทยเสียหายน้อยที่สุดท่ามกลางวิกฤตศรัทธาที่ประชาชนมีต่อการเมืองทุกฝ่าย