อะไร ? คือ เรื่องเร่งด่วนที่สุดที่ภาคประชาชน อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 4 เดือนแรก ? ทันทีที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย
แม้ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าการเมืองไทย ในอีก 4 เดือนข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง The Active ชวนแลกเปลี่ยนมุมมอง ของภาคประชาชน และนักเคลื่อนไหวประเด็นทางสังคม จากหลายภูมิภาค กับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังกับนายกฯ คนใหม่ และรัฐบาลใหม่
เพราะอย่างน้อยขอแค่ได้เห็นสัญญาณบางอย่างในเวลาอันใกล้นี้ ก็คงทำให้ประเมินได้ไม่ยากว่า ประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้ จะไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือจะยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขเสียที
แก้รัฐธรรมนูญ ภารกิจสำคัญ

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายประชาสังคมภาคอีสาน บอกว่า สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 4 เดือนจากนี้คือ การทำประชามติเพื่อเดินหน้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือ ภารกิจสำคัญที่สุด
โดยเขามองว่า รัฐธรรมนูญเป็นกติกาใหญ่ ที่กำหนดทิศทางของกติกาย่อยอื่น ๆ ซึ่งตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา ภายใต้ คสช. อำนาจรัฐได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้การมีส่วนร่วมอ่อนแอลง ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญคือเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเริ่มใน 4 เดือนนี้
ขอความจริงใจ แก้รัฐธรรมนูญ

แก้รัฐธรรมนูญ ยังถูกมองเป็นเรื่องสำคัญในสายตาของ ชุติมา น้อยนารถ เครือข่ายประชาสังคมภาคกลาง ย้ำว่า เป็นรากเหง้าของความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจในระบบการเมืองไทย จึงอยากเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 อย่างจริงจัง
เธอ ยอมรับว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้ประชาชนหมดความศรัทธากับผู้มีอำนาจ และผู้ถือนโยบาย หากยังไม่แก้ประเทศจะไปต่ออย่างไร ในขณะที่กำลังเจอกับวิกฤตรอบด้าน ทั้งเรื่อง อากาศ ภัยพิบัติ ปัญหาชายแดน ระบบเศรษฐกิจปากท้อง และการรับมือกับเศรษฐกิจที่กระทบจากทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ต้องการการบริหารจัดการที่เข้มแข็งมาก ไม่เช่นนั้นจะลำบากกันทั้งประเทศ
แม้ในระยะเวลา 4 เดือนอาจไม่สามารถขยับไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด แต่ ชุติมา ก็ขอแค่ รัฐบาลใหม่ประกาศว่าจะแก้รัฐธรรมนูญก็แสดงถึงความจริงใจแล้วครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เหนือไปกว่านั้นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบมีส่วนร่วม โดยจะต้องเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ และเปิดเผยให้ผู้คนมีส่วนร่วมมากที่สุดในการก่อร่างสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ประชาชนมีสิทธิ์ขาดในการออกความเห็นไม่ใช่มีธงไว้ในใจอยู่แล้ว
ปากท้องชาวบ้าน ต้องมาก่อนโครงการขนาดใหญ่

อีกมุมหนึ่ง จงดี มินขุนทด ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ก็มองว่า รัฐบาลใหม่ต้องมองเห็นความเดือดร้อนปากท้องของชาวบ้านก่อน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและโครงการใหญ่ ๆ ต้องเดินไปพร้อมกับความมั่นคงของชีวิตประชาชน ไม่ใช่สร้างความเจริญเฉพาะบางกลุ่ม
เธอย้ำว่า ปากท้องคือความมั่นคงที่แท้จริง อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ แม้จะอ้างว่าเป็นความเจริญ แต่หากไม่ได้ไปพร้อมกับปากท้องของประชาชน ก็เห็นสมควรว่าโครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการ ก็น่าจะต้องยุติไว้ก่อน นี่คือสิ่งที่นายกฯ อนุทิน และรัฐบาลใหม่ ต้องเร่งพิจารณาทบทวนในช่วงเวลาอันน้อยนิดเช่นนี้ และเริ่มต้นกระบวนการพัฒนาโดยยึดที่ความต้องการของผู้คนในพื้นที่เป็นสำคัญ
หยุดกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เดินหน้านับหนึ่งกฎหมายประชาชน

สอดคล้องกับ ประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายประชาสังคมภาคเหนือ มองความท้าทายที่อยากให้นายกฯ อนุทิน และรัฐบาลใหม่ เข้ามาสะสาง คือ จัดการกฎหมายที่ตกค้างมาตั้งแต่ยุค คสช. เขามองว่า หลายฉบับกลายเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน เช่น พ.ร.บ.การชุมนุม, พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฯ และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เห็นสมควรที่จะแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างน้อยต้องถูกเสนอเป็น มติ ครม. ว่ากฎหมายมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีกฎหมายภาคประชาชนอีกหลายฉบับที่ค้างอยู่ในสภาฯ ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน, กฎหมายธนาคารที่ดิน ก็ควรจะเร่งรัด ผลักดัน อย่างน้อยรับหลักการในวาระแรกไว้ก่อน เพื่อที่กฎหมายจะได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในสภาฯ ได้ โดยที่ไม่ต้องนับหนึ่ง เสนอกฎหมายใหม่
อย่างไรก็ตามเมื่อมีระยะเวลาจำกัด สิ่งที่ประชาชน และสังคมต้องจับตา คือ คำแถลงนโยบายของรัฐบาลจะครอบคุมไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมด้วยหรือไม่ หรือเป็นคำแถลงสั้น ๆ เพื่อที่จะดำเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาที่มีการให้คำมั่นไว้กับสภาผู้แทนราษฎร
เพราะหากเป็นเช่นนั้นความหวังของประชาชน ที่จะขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ก็คงคาดหวังอะไรไม่ได้กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะเขาก็จะอ้างว่า มีระยะเวลาจำกัด และมีภาระกิจที่จะทำชัดเจน
“เราไม่อยากให้เริ่มต้นใหม่ในบางประเด็นที่ขับเคลื่อนมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระจายการถือครองที่ดิน เรื่องการกระจายอำนาจ การจัดการทรัพยากรสู่ชุมชนท้องถิ่น หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดความเหลื่อมล้ำ”
ประยงค์ ดอกลำใย