นักรัฐศาสตร์วิเคราะห์จับตา กมธ. พลิกเนื้อหาหรือไม่ หลังรัฐสภาโหวตให้ร่าง พรรคประชาชน เป็นร่างหลัก ด้าน Con for All มองโอกาสประชาชนมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องสร้างความเข้าใจว่า รธน. สำคัญอย่างไร
หลังรัฐสภาลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคประชาชน-ภูมิใจไทย พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญฯ 43 คน พิจารณาในรายละเอียด สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ถึงปรากฎการณ์ที่ร่างของพรรค ปชน.ชนะโหวตเป็นร่างหลัก ก็ต้องยึดเป็นร่างหลัก ส่วนร่างฯ อื่นเป็นร่างประกบ เป็นร่างคู่เทียบ
“หมายความว่า ถ้าเป็นร่างของพรรคประชาชนแล้ว ร่างพรรคภูมิใจไทยก็มีด้วย จุดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับกรรมาธิการเสียงมากว่าจะเอาอย่างไร คือจะเป็นไปตามร่างพรรคประชาชนเลย หรือจะพลิกกลับมาเป็นร่างภูมิใจไทย หรืออาจจะผสมสูตรกลายเป็นร่างผสมผสานเลยก็ได้ ในเรื่องนั้น ๆ”
ส่วนเรื่องการเลือก สสร.โดยหลักทั่วไปก็จะใช้การอภิปราย ปรึกษาหารือกันว่า กรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นอย่างไร อาจเชิญคนนอกมาให้ความเห็นเพิ่มเติม หรือตั้งคณะทำงานเข้ามาศึกษาเข้ามาประกบอีก ถ้าคุยกันไม่ลงตัวก็จบลงด้วยการลงคะแนน
ท้ายที่สุดโอกาสของร่างพรรคประชาชนจะไปได้จนถึงเป้าหมาย จะเป็นไปได้แค่ไหน สุดท้ายแล้วรัฐสภาจะเป็นผู้ตัดสินอยู่ดี ไม่ว่ากรณีไหนเกิดขึ้น สมมุติกรรมาธิการเสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างพรรคประชาชน ในมาตรานั้นมีกรรมาธิการไม่เห็นด้วย ก็จะสงวนการแปรมติไว้ พอเข้าสู่ชั้นวาระที่ 2 แต่ละมาตราก็จะเข้าสู่ที่ประชุมสภา กรรมาธิการที่สงวนการแปลมติไว้ก็จะมีโอกาสลุกขึ้นอภิปรายชี้แจงโน้มน้าว เมื่อลงคะแนนแล้วในสภาเห็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่น ถ้าไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการที่เสนอมา ก็อาจจะต้องกลับไปแก้ให้เป็นตามความเห็นของเสียงข้างน้อย กระบวนการก็จะเป็นแบบนี้
หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง รัฐบาลเกิดยุบสภาก่อนที่กรรมาธิการจะพิจารณาเสร็จ โดยปกติกฎหมายที่พิจารณาไม่เสร็จก็จะถูกแขวนไว้ รอให้หลังเลือกตั้งว่าสภาจะเดินหน้าต่อหรือปัดตกไป
ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (Con for All) มองโอกาสประชาชนมีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่า หากเป็นร่างของพรรคปชน. เป็นร่างสุดท้ายที่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา แล้วผ่านการออกเสียงจากประชามติ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้ทั้งการไปเลือกตั้ง ทั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และเลือกตั้งสภาที่ปรึกษา แม้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ได้เป็นประชาชนเลือกตั้ง 100% มีรัฐสภามาคัดกรอง แต่ประชาชนก็จะมีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาและยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ตั้งแต่ผ่านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ช่องทางที่ 2 เมื่อมีกรรมาธิการยกร่างอยู่แล้ว เราก็สามารถเข้าไปให้ความคิดเห็น และที่สำคัญคือสภาที่ปรึกษายกร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเกิดโมเดลนี้ขึ้นจริง ประชาชนก็จะมีตัวแทนของตัวเองแต่ละจังหวัดที่จะสามารถเข้าไปเป็นส่วนร่วมกับตัวแทนในระดับจังหวัดได้
ช่องทางที่ 3 เมื่อรัฐธรรมนูญมีการจัดทำเสร้จแล้ว ขั้นต้อนสุดท้ายคือการไปออกเสียงประชามติว่า เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทางกรรมาธิการยกร่าง หรือกลไกรัฐธรรมนูญจัดทำขึ้นมา
ในเรื่องของการจะทำให้ประชาชนทุกคนเข้าใจความสำคัญของการมีรัฐธรรมนูญใหม่ ในจุดนี้ สิ่งแรกที่ต้องยืนยัน คือ ถ้าเราไม่มีการเลือกตั้งก่อน ไม่มีกระบวนการให้คนออกไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประชาชนจะไม่เข้าใจเลยว่าจะมีรัฐธรรมนูญที่ดีกว่านี้ได้อยู่อย่างไร เช่น ร่างของภูมิใจไทย ที่ให้ทุกคนไปสมัครกัน แล้วรัฐสภาเลือก การแก้รัฐธรรมนูญก็จะเป็นแบบปิดลับ คือ มีแค่รัฐสภาที่เป็นคนคิดแทนประชาชนว่า รัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นอย่างไร ประชาชนก็จะมีส่วนร่วมน้อย มองเห็นอนาคตน้อย
ส่วนข้อห่วงกังวลหนึ่งที่สำคัญ คือ การจับตาดูในชั้นกรรมาธิการว่าสุดท้ายแล้ว เสียงข้างมากของกรรมาธิการจะลงมติไปในทิศทางไหน แล้วเมื่อกรรมาธิการส่งกลับมาแล้ว ในสภาฯ วาระ 2 จะมีการลงมติที่พลิกไปพลิกมาหรือไม่ เพราะหากดูจากคะแนนลงมติเมื่อวาน มีโอกาสที่จะเปลี่ยนได้ตลอดว่าร่างไหน จะได้รับเห็นชอบมากกว่า
อีกทั้งมี สว.หลายคนออกมาบอกว่า ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนอาจจะคัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะมีกลไกที่คนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อทำให้กระบวนการนี้ถูกชะลอ ซึ่งก็ต้องจับตาดูในขั้นตอนต่อไป