“บัตรเสียเกินมาตรฐานสากล, สิทธิ์ประชาชนไม่ถูกนับ ฯลฯ” แผลเก่าเลือกตั้ง 66 ทำหลายฝ่าย ห่วง กกต. ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเครื่องมือบิดเบือนผลที่ไม่สะท้อนเจตนารมณ์แท้จริงของประชาชน


เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 68 ช่วงหนึ่งระหว่างการเสวนา “ถอดรหัสอนาคตการเลือกตั้งไทยกับการเข้าถึง รับรู้ และขยายสิทธิของประชาชน” จัดโดย คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีการตั้งคำถามต่อการจัดการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา ที่ไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
“การเลือกตั้ง คือ ความหวังของประเทศ แต่ในขณะเดียวก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ บิดเบือนความหวัง และความฝันของประชาชน” เป็นสิ่งที่ ศุภณัฐ บุญสด นักวิชาการวิทยาลัยนิติบัญญัติ สถาบันพระปกเกล้า ตั้งคำถามถึงสถานการณ์ทางการเมือง และกระบวนการเลือกตั้ง ที่ไม่สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชนได้ โดยอธิบายว่า การให้อำนาจ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในการแทรกแซงการเลือกตั้งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ก่อนปี 2549 โดยการออกแบบระบบเลือกตั้ง เน้นที่การตรวจสอบทุจริตเป็นสำคัญ
แต่หลังปี 2549 การใช้กฎหมาย หรือแต่ให้อำนาจศาล พิทักษ์ กกต. ด้วยเจตจำนงกลั่นกรองคนดีเข้าสภาฯ ทำให้เกิดภาวะ “การเลือกตั้งไร้ความหมาย” หมายถึง ผลคะแนน หรือ การลงเสียงของประชาชน มีโอกาสที่จะถูกบิดเบือน เพื่อให้สุดท้ายแล้ว หน้าตาของรัฐบาลที่เกิดขึ้น เป็นไปตามทิศทางเดียวกับที่ชนชั้นกุมอำนาจอยู่ และอาจจะเรียกสิ่งนี้เป็น ระบอบอำนาจนิยมที่มีการแข่งขัน คือมีการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลที่ได้ไม่ตรงกับเจตจำนงของประชาชน ต่างจากอุดมคติในการเลือกตั้งที่ควรให้เลือกตั้งอย่างเสรี
กระทั่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของประเทศไทยในปี 2566 ก็เต็มไปด้วยแผลเก่า ที่ กกต. ไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจน

แผลเก่า เลือกตั้ง 66 สะท้อน ระบบเลือกตั้งไทยที่ยังต้องพัฒนา
พงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน ตัวแทน We Watch ระบุ 3 เสาหลักจัดการเลือกตั้ง คือ ต้องทำให้คนรู้สิทธิ์, เข้าถึงสิทธิ์ และสิทธิ์ต้องถูกนับ หากเทียบกับหลายประเทศ การเลือกตั้งไทยมีข้อดี เช่น การไม่ต้องลงทะเบียน แต่สามารถใช้ฐานข้อมูลจากทะเบียนบ้านได้เลย แต่ก็ยังมี ข้อห่วงใหญ่หลายประการ ที่เคยเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งในปี 2566 ซึ่ง กกต. ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ก็ยังไม่ได้ให้คำตอบชัดว่าจะป้องกัน ไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร เช่น
- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งล่วงหน้า : มีมากกว่า 350,000 ใบ มีความไม่ชัดเจนของการระบุชื่อ ผู้ใช้สิทธิ์ การจ่าหน้าซองไม่ครบถ้วน ยังไม่นับรวมเรื่องการลงทะเบียนแล้ว ระบบล่ม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับคำตอบจาก กกต.
- บัตรเลือกตั้งไม่เป็นมิตร : เพราะไม่มีข้อมูลใดนอกจากตัวเลข ขณะที่ บัตรเลือกผู้สมัครแบบแบ่งเขต กับ แบบปาร์ตี้ลิส ก็คนละเบอร์ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน
- บัตรเสีย ที่มีเกิดขึ้นแทบทุกปี และเกินมาตรฐานสากล we watch ชูประเด็นนี้ยาวนาน ทุกการเลือกตั้ง ในฐานะผู้สังเกตการณ์ พบว่า บัตรเสียปี 2562 มีกว่า 2,037,000 ใบ ขณะที่ บัตรเสียปี 2566 มีกว่า 2.9 ล้านใบ เกือบ 3 ล้านใบ ซึ่ง 3 ล้านใบนี้ สามารถเปลี่ยนการเลือกตั้งได้เลย และบัตรเสีย ยังเป็นชี้วัดด้วยว่า กกต. ได้ให้การศึกษากับประชาชนเรื่องสิทธิ์แค่ไหน
“หากบัตรเสียมากกว่า 3.5% กกต.ของประทศนั้น ๆ จะถูกครหาว่าให้ความรู้กับประชาชนไม่เพียงพอ แต่ของประเทศมีสูงกว่า 5.7% มันเกินมาตรฐานสากลไปแล้ว”
- คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง หรือ กปน. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่จัดการ และอำนวยความสะดวกในการออกเสียงเลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้ง ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นกลาง ซึ่งในปี 2562 และปี 2566 เป็นต้นมา มีข้อร้องเรียนต่อเนื่อง เช่น กรณี การไล่ผู้สังเกตการณ์ และที่มาของกระบวนการคัดเลือก กปน.
- การตั้งข้อสังเกตไปถึงความพยายามในการใช้ อำนาจรัฐ และกลไกท้องถิ่น เอื้อประโยชน์ในช่วงการเลือกตั้ง
- การใช้ แอปพลิเคชัน รายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส่ เป็นกลาง และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของ กกต. ที่ยังเป็นปัญหา
- กรณี การถูกทำให้เสียสิทธิ์ ของกลุ่มคนเปราะบาง เช่น กลุ่มคนพิการ มีอยู่ในทุกการเลือกตั้ง แต่หลายคนยังเข้าไม่ถึงสิทธิ์
- การเผยแพร่ผลคะแนนยิ่งช้า ยิ่งโกงผลคะแนนได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
พงษ์ศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า “การเลือกตั้ง เป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ ถ้าไม่เปลี่ยนความคิด, ไม่เปลี่ยนโครงสร้าง ถ้าจะเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนโครงสร้าง หากหมดหวัง เบื่อหน่ายกับการเมือง ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเขา (ชนชั้นนำ) ต้องการให้ประชาชนหมดหวัง เบื่อหน่าย ไม่ต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง… ประชาชนต้องออกไปเรียกร้อง ปกป้องสิทธิ์ของเรา ตัดสินจากนโยบาย ไม่ใช่เงินซื้อเสียง”

ข้อเสนอ เติมข้อมูลข่าวสารช่วงเลือกตั้งให้กับประชาชน
ธนิสรา เรืองเดช ประธานกรรมการบริหาร WeVis ระบุ ข้อกังวลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เน้นปัญหาไปที่ข้อมูล ยังขาดมาตรฐาน, การสื่อสารที่ยังคลุมเครือ เมื่อเกิดข้อสังสังหรือปัญหา การชี้แจงก็มักจะล่าช้า, พื้นที่สื่อในการนำเสนอแต่ละพรรคการเมืองไม่เท่าเทียม และ หลายครั้งเน้นตัวบุคคล มากกว่า นโยบาย รวมถึง ความเสี่ยงในการเกิดการบิดเบือนข้อมูล ทั้งจากข้อมูลที่ผิด (misinformation) และ ข้อมูลบิดเบือน (disinformation ) การใช้ AI (Deepfake) สร้างเนื้อหาปลอม ซึ่งยังไม่เห็นบทบาทที่ชัดเจนจาก กกต. ในการรับมือกับปัญหานี้
ขณะที่ 4 ข้อเสนอแนะ สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง มีข้อเสนอให้
- กกต. ต้องสร้างมาตรฐานข้อมูลเปิดที่ชัดเจนและใช้งานง่าย และจัดกระบวนการปรึกษาหารือร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้ข้อมูลตอบโจทย์ความต้องการ
- กกต. ควรมีแหล่งข้อมูลหลักที่ชัดเจน (ทีมโฆษก) และ เมื่อมีประเด็นเกิดขึ้นต้อง ชี้แจงอย่างเป็นทางการและตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดทันที เพื่อสร้างความเชื่อมั่น พร้อมเปิดรับฟังข้อสงสัยจากประชาชนเพื่อสร้างการสื่อสารแบบสองทาง
- สื่อมวลชน ควรชี้แจงหลักการและแนวทางให้พื้นที่ข่าวแก่พรรคต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน และเน้นนโยบายเชิงลึก ส่วน กกต. ควรควบคุมและเปิดเผยค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหาเสียงของทุกพรรคอย่างโปร่งใส ให้สังคมร่วมตรวจสอบได้
- กกต. ควรกำหนดระเบียบป้องกันการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด เช่น การติดป้ายกำกับข้อมูลปลอม และทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยี เพื่อนําเครื่องมือตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ รวมทั้ง ร่วมมือกับ สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านนี้ เพื่อสร้าง กลไกในการรีพอร์ต และรับมือกับข่าวปลอมและ AI อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรควบคุมสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และ การกํากับดูแลภัยคุกคาม


ขณะที่ วีรยุทธ สร้อยทอง สมาชิกวุฒิสภา ระบุถึง ข้อเสนอเช่น การแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่ควรชัดเจน ไม่สับสน ซึ่งไม่ควรแก้ไขกันแค่ในระดับ ระเบียบ กกต. เพียงอย่างเดียว แต่ควรแก้ไขกันในระดับรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถดำเนินการได้ รวมถึงข้อเสนอการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดปัญหา และทำให้การเลือกตั้งเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ E-vote หรือระบบการลงคะแนนเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ โดย ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในกระบวนการ ลงคะแนน และนับคะแนน
แต่การใช้ E-vote จำเป็นต้องสร้างกฎหมาย มีทรัพยากรบุคคที่เพียงพอ และยังต้องสร้างการเรียนรู้เรื่องการใช้กฎหมาย เพื่อทำให้การใช้สิทธิ์ ใช้เสียงเกิดประสิทธิภาพ โดยมองว่าหากมีงบประมาณ ควรวางแผนในระยะยาว เพื่อวางรากฐานประชาธิปไตย ทำให้เกิดการเลือกตั้งโปร่งใส การใช้เทคโนโลยีจะตอบสนองเป็นไปตามยุคสมัย
