จ่อเสนอ ‘ร่าง พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์’ เข้าสภาฯ ปิดช่องว่าง ลักลอบทิ้งสารเคมี

ก.อุตสาหกรรม เตรียมนำร่างกฎหมายเข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า แยกโรงงานประเภท 101, 105, 106 ออกจาก พ.ร.บ.โรงงานฯ มาควบคุมดูแลเอง หวังปราบปรามโรงงานเถื่อน ไร้มาตรฐาน ชี้ขั้นตอนขออนุมัติยากขึ้นพร้อมตั้ง ‘กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน’ เยียวยาประชาชนทันทีหลังเกิดเหตุ

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 68 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “วิกฤตขยะพิษ กับ ชีวิตประชาชน” เพื่อเล่าถึงภาพปัญหาการจัดการขยะจากอุตสาหกรรมในประเทศไทย พร้อมร่วมหาทางออกกับปัญหามลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม 

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า หลังเข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหามลพิษในพื้นที่ จ.ระยอง แล้วได้ทำการ ร่างกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เตรียมจะยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า เนื่องจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโรงงานจากจีนทะลักเข้ามาในไทยจำนวนมาก เพราะจีนมีการเปลี่ยนรูปแบบภาคอุตสาหกรรมใหม่ และสิ่งที่เข้ามาในไทย คือ การทุ่มตลาด และ ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยการทุ่มตลาดมาในลักษณะของอุตสาหกรรมเหล็ก เตาหลอม ซึ่งพบว่าเตาหลอมที่ไม่ใช้แล้วในต่างประเทศ หรือที่จีนกลับถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ขณะที่เรื่องสิ่งแวดล้อม อย่างการการจัดการกากอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งถือว่าเป็นต้นเหตุของเรื่อง จึงได้วางโมเดลของร่างกฎหมายเอาไว้ว่า คือ แยกเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมออกจากโรงงานทั่วไป

อรรถวิชช์ ยังชี้ว่า โรงงานปกติทั่วไปจะต้องยึดหลัก Ease of Doing Business คือ ง่ายต่อการทำโรงงานพวกนี้ ขณะเดียวกันถ้าหากคุณเป็นโรงงานกำจัดจะต้องยาก เพราะฉะนั้นต้องแยกออกจาก พ.ร.บ. โรงงาน ก่อน และที่เหลือเชื่อ ว่า เวลาไปกำกับ กฎหมายโรงงานจะมี มาตรา 8 เป็นมาตราสำคัญที่สุด มีการออกกฎหมายลูก ซึ่งตอนนี้ใช้ไม่ได้เพราะมีโทษเบา ใช้กำกับโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจแยกออกมาทำให้ผู้ประกอบการที่จะทำโรงงานกำจัดอุตสาหกรรมต้องมีขั้นตอนกระบวนการก่อตั้งโรงงานที่ยากขึ้น โดยภายในกฎหมายนี้จะเป็น การกำจัดกากอุตสาหกรรมที่เป็นของเหลือจากขั้นตอนการผลิต ขณะที่กากอุตสาหกรรมจากครัวเรือน เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ สายไฟวงจรต่าง ๆ รวมไปถึงซากรถยนต์

“ใบอนุญาต โรงงานประเภท 101 105 106 จะต้องขอใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมฯ แต่จะไม่ต้องเป็นการตั้งโรงงานกำจัดแห่งใหม่ แต่เป็นการยกระดับให้ดีขึ้น นั่นหมายความว่า จะมีเกณฑ์ใหม่ ที่ยากขึ้นในการทำโรงงานกำจัดขยะ”

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

อรรถวิชช์ บอกอีกว่า ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การห้ามนำเข้ากากอุตสาหกรรมโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะนำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตขยะไม่อันตรายมีโทษหนักคือ จำคุก 10 ปี โดยเทียบเคียงจากโทษของกรมศุลกากรกรณีสำแดงเท็จ ส่วนค่าปรับสูงสุด 1 ล้านบาท แต่หากเป็นอุตสาหกรรมอันตรายโทษปรับ 2 ล้าน และผลักดันออกนอกประเทศ เนื่องจากกระบวนการหากนำมากำจัดต้องใช้งบประมาณหลายล้านบาท

ประเด็น ต่อมาคือ ทะลุฟรีโซน ที่ปัจจุบันมีปัญหาเยอะมาก พบว่า ไปก่อตั้งโรงงานอยู่ในพื้นที่ฟรีโซน อยู่ใต้การกำกับดูแลของกรมศุลกากร เวลาที่สนธิกำลังเข้าไปจะมีความวุ่นวาย ซึ่งได้เรียนรู้จากชุดสุดซอย ที่เข้าไปตรวจจับก็เจอปัญหาเยอะ ก็จะทำให้สามารถเข้าไปตรวจสอบส่วนนั้นได้เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย เมื่อโทษจำคุกเท่ากับศุลกากร แต่โทษปรับมากกว่า การจัดการในอนาคตจะไม่ใช่กรมศุลกากรเข้าไปยึด แต่จะกระทรวงอุตสาหกรรมที่เข้าไปยึด และทรงผลักดันออกนอกประเทศหรือทำลายเลย ไม่ทิ้งค้างไว้

“ปัจจุบันนี้น่าตกใจว่าเรามีของซุกอยู่ใต้พรม ในฟรีโซนทิ้งกันเป็นว่าเล่นและเข้าไปก็ไม่ได้ และการจะเข้าไปในฟรีโซนต้องอาศัยกฎหมายกรมโรงงาน ขออนุญาตเข้าไป และเข้าไปอัตราโทษที่มีก็น้อย ทำได้เลยคือสั่งปิดโรงงาน และสิ่งที่น่าตกใจของกฎหมายโรงงานคือสั่งปิดโรงงานแล้วอำนาจกระทรวงอุตสาหกรรมหมดเลยครับ เข้าไปไม่ได้อีกแล้ว รอบนี้ก็เลยเขียนว่าให้ทะลุฟรีโซน มีกระบวนการในการจัดการ”

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

แปลงกองทุน SME ประชารัฐ สู่ กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน

อรรถวิชช์ อธิบายอีกว่า กระบวนการเยียวยาจะเปลี่ยนรูปแบบใหม่ โดยมีการตั้งกองทุนชื่อว่า กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน อยู่ในกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการเยียวยาประชาชนมีความยากลำบาก งบประมาณของจังหวัดในส่วนของภัยพิบัติมีเพียง 10 ล้านบาท เช่น จ.ระยอง เอางบฯ ภัยพิบัติไปขุดบ่อน้ำรอบ วิน โพรเสส ใช้ไป 9 ล้านกว่าบาท นั่นหมายความว่า การตั้งงบประมาณของประเทศไทยตั้งงบเยียวยาไว้แค่จังหวัดละ 10 ล้าน ไม่มีทางพอกับจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม ขณะที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะขอตั้งงบกลางก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน และตอนนี้ของ วิน โพรเสส ของบกลางไปก็ยังไม่ได้

“กองทุนนี้จะทำหน้าที่เข้าไปฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นตัวแทนชาวบ้านฟ้องร้องคดีก่อน แต่ไม่ต้องรอกองทุนนี้จะเอาเงินไปเยียวยาก่อน จากนั้นก็จะฟ้องผู้ประกอบการและเอาเงินมาคืน และกองทุนก็จะของบอุดหนุนประจำปีด้วย ส่วนเงินที่จะเอามาตั้งกองทุนคือจะเป็นการแปลง กองทุน SME ประชารัฐ ที่มีเงินอยู่ตอนนี้ 2 หมื่นล้าน แปลงกลับเป็นกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน คือช่วยเอสเอ็มอีได้เหมือนเดิมแต่เพิ่มฟังก์ชันเข้าไปคือเรื่องของการเข้าไปเยียวยาชาวบ้านได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวกลางในการดำเนินคดีด้วย”

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

นอกจากนี้ จะมีการให้บริษัทกลุ่มนี้ วางเงินประกันและต้องทำประกัน เนื่องจากปัจจุบันการทำประกันมีปัญหาอย่างมาก โรงงานปกติเริ่มไม่ทำประกันแล้ว แม้ว่ากฎหมายจะเขียนเอาไว้ให้จ่ายชดเชยค่าเสียหาย แต่ไม่ได้จ่ายให้กับประชาชน ในกฎหมายกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ จะเขียนให้ครอบคลุมไปถึงนอกจากค่าเสียหายเบื้องต้นก็จะต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับประชาชนด้วย แต่จะต้องมีการตรวจสภาวะของโรงงานก่อน ซึ่งปกติโรงงานปัจจุบันมีการให้ใบอนุญาตรอบเดียว ไม่ต้องต่ออายุ แต่ถ้าเป็นของโรงงานที่กำจัดกากอุตสาหกรรมต้องมีการต่ออายุ เพื่อให้มีการตรวจเข้ม โดยชี้แจงรายละเอียดของการวางเงินประกันโรงงานว่า ทุกโรงงานจะต้องวางเงินประกัน ฝากไว้ที่กองทุน แล้วเมื่อโรงงานไหนเกิดปัญหาก็จะดึงเงินมาใช้ พอดำเนินการเสร็จสิ้นก็จะนำเงินกลับเข้าคืนกองทุน กองทุนก็จะมีลักษณะเหมือนมีเงินเติมเข้าเงินออกตลอด เพื่อที่จะทำให้การเยียวยาประชาชนเร็วมากยิ่งขึ้น โดยใช้กองกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืนยืน ที่ไม่ไม่เป็นภาระทางการคลังเพิ่มเติม เพราะเป็นการแปลงหน้าที่ของกองทุน SME ประชารัฐ เข้ามาอยู่ในหมวดนี้ด้วย 

“ความป่วนของโรงงานพวกนี้ถ้าเราไม่จำกัดให้ดี มันเป็นความฉิบหายของประเทศ เพราะว่าต่อให้ยึดมาทั้งโรงงาน ขายทอดตลาดไปแล้ว ก็ไม่มีวันคุ้มกับสิ่งที่เขาทำไว้ กฎหมายก็ต้องแรงขึ้น กระบวนการก็จะง่ายมากขึ้น”

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

อรรถวิชช์ บอกอีกว่า กรณีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่แม้จะมีโรงงานกำจัดขยะในนิคมของตัวเองแต่ก็ไม่ยอมใช้ ไปใช้บริการโรงงานนอกนิคม กฎหมายก็จะออกแบบเอาไว้ว่าถ้าเป็นนิคมอุตสาหกรรม แล้วมีการเคลื่อนย้ายจากอุตสาหกรรมในนิคมตัวเองจะต้องมีการรายงาน และขอให้เน้นการใช้บริการภายในนิคมของตนเอง

“กฎหมายฉบับนี้ จะรื้อระบบใหม่ให้เป็นระบบอุตสาหกรรมสะอาด ผมเข้าใจทุกภาคส่วนกับปัญหาที่เกิดขึ้น พยายามจะทำให้เกิดการปฏิบัติจริงได้เร็วที่สุด กฎหมายฉบับนี้เนื่องจากเป็นกฎหมายการเงิน  เชื่อว่ากว่าจะได้เห็นน่าจะปลายปี 68”

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ขณะที่ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ บอกว่า ดีใจที่เห็นกันขับเคลื่อนของรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม และทำให้ชาวบ้านอุ่นใจมากขึ้นในการดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมาย แม้ว่าโทษจะเบาก็ตาม แต่ชาวบ้านจะเริ่มวางใจมากขึ้น ถ้าหาก มี พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมฯ ขึ้นมาน่าจะเป็นแนวทางที่สำคัญอย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหาจากขยะอุตสาหกรรม และอีกอันที่รออยู่คือ พ.ร.บ.โรงงาน ที่รอการแก้ไข โดยอยากให้มีการ แก้ไขในเรื่องการออกใบอนุญาต ควรจะต้องมีการต่อใบอนุญาต ต่อให้เป็นโรงงานทั่วไป เชื่อว่าถ้าหากไม่ตรวจสอบก็มีความเสี่ยงจะกลายเป็นที่ไม่ดีได้ 

เชื่อ กฎหมาย PRTR แก้มลพิษยั่งยืน

ส่วนกฎหมาย PRTR อยากขอฝาก เพราะว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหามลพิษได้อย่างยั่งยืน กฎหมายนี้องค์การสหประชาชาติดำริ ให้ทุกประเทศ มีการตรากฎหมายนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษอุตสาหกรรมจากสารอันตรายต่าง ๆ สหประชาชาติตั้งเป้าให้ ทุกประเทศต้องมีกฎหมายฉบับนี้ใช้ให้ครบ ภายในปี 2558 และสมาชิก OECD  ก็มีข้อกำหนดว่า เพื่อที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกได้จะต้องมีกฎหมาย PRTR ซึ่งมูลนิธิบูรณะนิเวศติดตามเรื่องนี้มานานและรอมานาน 

“พ.ศ.นี้ เรายังไม่มีกฎหมายฉบับนี้ และถ้ายังไม่มีกฎหมายนี้ เราเชื่อว่า พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมฯ ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็ยังมีช่องโหว่ เพราะไม่สามารถที่จะตั้งต้นแก้ไขได้อย่างถูกจุดและตรงเป้า พ.ร.บ.การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ… ภาคประชาชน รอว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเรียกไปนำเสนอตัวร่างกฎหมายฉบับนี้เมื่อไร แต่ยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้การแก้ไขปัญหามลพิษในทุก ๆ รูปแบบในประเทศไทยมีความสมบูรณ์แบบและตรงจุดตรงประเด็นมากขึ้น”

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

เพ็ญโฉม ระบุว่า กากอุตสาหกรรมทำให้เกิดการปนเปื้อนมลพิษในพื้นที่ประเทศไทยเยอะมาก ถ้าหากประเทศไทยกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลตรงนี้ออกมา เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือ หลาย ๆ ประเทศทำ Mapping ว่า ในแต่ละประเทศมีพื้นที่ปนเปื้นมลพิษตรงไหน และสถานภาพของพื้นที่เหล่านี้อยู่ที่ระดับใด เพื่อที่จะวางแผนจัดการพื้นที่ ตั้งงบประมาณแก้ไข เพื่อที่จะผลักดันขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจที่สีเขียวและยั่งยืนได้

“เราไม่มี database ตรงนี้เลย ประเทศไทยเราไม่มีจุดที่บอกเลยว่ามีพื้นที่ไหนบ้างที่ปนเปื้อนมลพิษอยู่ มีกากบนดินใต้ดินเท่าไร และจะวางนโยบายกับงบประมาณที่จะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างไรบ้าง ถ้าตรงนี้ไม่ชัดเจนการแก้ไขปัญหาก็จะคลุมเครือ”

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

เพ็ญโฉม ยังบอกอีกว่า สิ่งสำคัญคือช่วงที่รอกฎหมาย อยากให้กระทรวงอุตสาหกรรมทำการระงับยับยั้งกรณีบริษัทตัวแทนเปิดรับให้บริการเรื่องจดทะเบียน ใบ รง.4 สำหรับโรงงานประเภท 105 106 ซึ่งเป็นการเปิดให้เช่า เปิดให้บริการจดทะเบียนใบ รง. สำหรับอุตสาหกรรมสองกลุ่มนี้ เพื่อที่จะให้บริษัทจีน หรือใครก็ได้เข้ามาเช่าพื้นที่ในการทำโรงงาน และหากจับได้ว่ากระทำความผิด บริษัทที่ดำเนินการสามารถปิดกิจการแล้วหนีไปได้เลย กฎหมายก็เอาผิดไม่ได้เพราะเขาเข้ามาเช่าพื้นที่ ลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ ทำให้มีการฝังกากลงใต้ดิน ทิ้งกากเหล่านั้นไว้เป็นปัญหา สุสานมลพิษในบ้านเราจะเพิ่มขึ้นจากเรื่องนี้ 

สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย

เช่นเดียวกับ สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า ปี 2566 – 2567 เป็นปีแห่งปัญหาโรงงานอุตสาหกรรม จะเห็นตามข่าวที่พบปัญหามากหมายในหลายจังหวัด กฎระเบียบกฎหมายที่หย่อนยาน โดยเฉพาะจากคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 4/2559 ที่ให้ตั้งโรงงานได้โดยยกเว้นกฎหมายผังเมือง โดยชี้ว่า โรงงานตอนนี้มีอยู่ประมาณ 2,500 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประเภท 101 105 106 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานลงทุนน้อย ประสิทธิภาพต่ำ ไม่มีระบบบำบัด บางส่วนลักลอบเก็บไว้ในโรงงานบางส่วนก็ลักลอบนำไปทิ้ง การตั้งโรงงานจากไฟฟ้าขยะ

จึงเสนอว่าควรตั้งใน นิคมอุตสาหกรรม ควรมีการทำ รายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีความเสี่ยงและอันตราย และควรจะยกเลิกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 4/2559 ที่บอกว่าสามารถตั้งโรงงานประเภทเหล่านี้ได้โดยยกเว้นผังเมือง เป็นเวลา 1 ปี  หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสีของ ผังเมือง ใหม่ ทำให้เกิดโรงงานเหล่านี้มาตั้งในชุมชนจำนวนมาก แม้ว่าจะมีการรับฟังความเห็นจากประชาชนก็ตามประกาศไปติดไว้เพียงแค่ 15 – 30 วัน พอเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านก็ดำเนินการตั้งเลย

“การจะยกเลิกคำสั่ง คสช. จะต้องนำเรื่องเข้าสภาสภาผู้แทนราษฎร และมติโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะต้องปฏิรูประบบการตั้งโรงงานดังกล่าวให้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ที่มีการตั้งระบบที่มาตรฐานมีสิทธิภาพสูงในการบำบัดมลพิษ และปฏิรูประบบอนุญาตและเคลื่อนย้ายกาก และการตรวจสอบ ที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดปัญหาการคอรัปชันเพิ่มความโปร่งใสให้ประชาชนตรวจสอบได้”

สนธิ คชวัฒน์ 


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active