เสนอใช้ ม.9 พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ให้อำนาจ นายกฯ สั่งการควบคุมระงับผลร้ายจากมลพิษ มีโทษหากนิ่งเฉย ย้ำ จัดการแหล่งกำเนิด ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศ หวังกลไกอาเซียน-ความร่วมมือแม่น้ำโขง ช่วยแก้ปัญหาระยะยาว
สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ให้สัมภาษณ์ The Active เกี่ยวกับสถานการณ์การปนเปื้อนของสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายว่า แม้ประเทศไทยจะมีกลไกทางกฎหมายที่สามารถใช้จัดการปัญหามลพิษในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง แต่การแก้ไขที่แหล่งกำเนิด ซึ่งอยู่นอกเขตแดนประเทศไทย กลับเป็นประเด็นซับซ้อนที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางในการดำเนินการ
เสนอใช้กลไกกฎหมายในประเทศ จัดการเฉพาะหน้า
สุรชัย บอกว่า การประกาศ “เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม” เป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐสามารถใช้ได้ เพื่อเอื้อต่อการออกข้อบังคับหรือแนวทางจัดการในพื้นที่ที่มีปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้จะมีผลมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางกรณีอาจยังไม่มีศักยภาพเพียงพอ
นอกจากนี้ยังเสนอว่า รัฐบาลไทยสามารถใช้อำนาจตาม มาตรา 9 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ซึ่งให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติหรือภาวะมลพิษร้ายแรง ซึ่งอาจเป็นภัยต่อสาธารณชน เช่นเดียวกับกรณีฝุ่น PM 2.5 ที่เคยถูกตีความว่าเข้าเงื่อนไขดังกล่าวมาแล้ว
“มาตรา 9 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการหรือบุคคล ให้ดำเนินการหรือควบคุมเพื่อระงับผลร้ายจากมลพิษได้ ซึ่งถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามก็มีโทษด้วย”
สุรชัย ตรงงาม
อย่างไรก็ดีแม้จะมีกฎหมายในมือ แต่การใช้กลไกเหล่านี้ต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและลักษณะพื้นที่โดยเฉพาะ

เร่งจัดการปัญหาเฉพาะหน้า ควบคู่ระยะยาว
สุรชัย ระบุด้วยว่า การฟื้นฟูปัญหามลพิษจำเป็นต้องดำเนินควบคู่กันใน 2 ระดับ คือ ระดับเฉพาะหน้า เพื่อควบคุม ยับยั้ง และบรรเทาความเสียหายเบื้องต้น เช่น การประกาศเขตภัยพิบัติ การออกมาตรการเร่งด่วนในพื้นที่ และ ระดับระยะยาว ซึ่งต้องใช้การศึกษาข้อมูลเชิงลึกและแนวทางที่เป็นระบบมากขึ้น
“ระยะฉุกเฉินต้องทำให้หยุด ระงับ บรรเทา ส่วนระยะยาว ต้องศึกษาวิธีการจัดการอย่างรอบด้าน”
สุรชัย ตรงงาม
ส่วนปัญหาสำคัญอยู่ที่แหล่งกำเนิดสารปนเปื้อน ซึ่งอยู่ภายนอกเขตแดนประเทศไทย ในพื้นที่รัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธ ไม่ใช่รัฐบาลเมียนมาโดยตรง จึงยิ่งทำให้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้น
กลไกระหว่างประเทศ ความหวังที่ยังไม่ชัด
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการใช้กลไกระหว่างประเทศในการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ สุรชัย มองว่า ขณะนี้ยังไม่มีกรอบความตกลงระหว่างประเทศใดที่สามารถใช้ได้ทันทีกับกรณีแม่น้ำกก-สาย ซึ่งแตกต่างจากแม่น้ำโขงที่มีกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศอยู่แล้ว
กลไกอาเซียน หรือกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำโขง อาจเป็นเวทีที่สามารถใช้ขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนได้ในอนาคต แม้จะยังไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในปัจจุบัน
“รัฐไทยไม่มีทางเลือกอื่น ต้องใช้ทุกกลไกที่มี รวมถึงกลไกกลุ่มแม่น้ำโขง แม้ว่าน้ำกกจะเป็นเพียงสาขา แต่ก็ไหลลงโขง จึงมีเหตุผลที่จะดึงประเด็นเข้าสู่ความร่วมมือนี้ได้”
สุรชัย ตรงงาม
สำหรับข้อเสนอที่ให้ใช้กลไกแม่น้ำโขงเข้าไปจัดการแม่น้ำสาย-กกโดยตรง นายสุรชัยมองว่าอาจยังไม่มีน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอ เพราะกลไกดังกล่าวมุ่งเน้นจัดการผลกระทบต่อแม่น้ำโขง ไม่ใช่ลำน้ำสาขา
“แม่น้ำสายกับแม่น้ำกก ไหลลงแม่น้ำโขงก็จริง แต่จะเอากลไกแม่น้ำโขงมาจัดการโดยตรงกับพื้นที่ต้นน้ำเลย อาจจะยังไม่ชัดเจนว่าทำได้แค่ไหน”
สุรชัย ตรงงาม
ในมิติของกลไกสหประชาชาตินั้น สุรชัย ยอมรับว่า ยังไม่มีแนวทางที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างตรงตัวทันที แม้บางกลไกอย่าง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ กลไกสิ่งแวดล้อมของยูเอ็น อาจเข้ามาเกี่ยวข้องได้บ้าง แต่ก็ต้องตรวจสอบสถานะของเมียนมาในแต่ละข้อตกลงระหว่างประเทศอีกครั้ง
“ปัญหาอยู่ที่รัฐเมียนมาเองก็ไม่ได้ควบคุมพื้นที่ที่เกิดเหตุโดยตรง ทำให้แม้แต่กฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ง่าย ต้องอาศัยข้อเสนอใหม่ ๆ และการระดมความคิดเห็นจากหลายฝ่าย”
สุรชัย ตรงงาม
ปัญหาข้ามแดน-กรณีท้าทายของกฎหมายสิ่งแวดล้อม
เลขาธิการ EnLAW สรุปว่า กรณีมลพิษจากแม่น้ำสาย และแม่น้ำกกถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนมาก ซึ่งแม้แต่นักกฎหมายสิ่งแวดล้อมเอง ก็ยังเห็นว่าเป็นประเด็นใหม่และท้าทายอย่างยิ่ง
“ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลข้ามพรมแดน พบได้ทั่วโลก และหลายกรณีก็นำไปสู่ข้อตกลงระหว่างประเทศในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน แต่กรณีนี้ยังไม่มีข้อตกลงใดรองรับ จึงต้องใช้กลไกอื่น ๆ เช่น อาเซียน หรือความร่วมมือภูมิภาคเป็นตัวตั้งต้น”
สุรชัย ตรงงาม
- หมายเหตุ : มาตรา 9 เมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุภยันตรายต่อสาธารณชน อันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ หรือภาวะมลพิษที่เกิดจากการแพร่กระจายของมลพิษ ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนั้นจะเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพอนามัยของประชาชน หรือก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐเป็นอันมาก ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควรให้ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจหรือบุคคลใด ๆ รวมทั้งบุคคลซึ่งได้รับหรืออาจได้รับอันตรายหรือความเสียหายดังกล่าว กระทำหรือร่วมกันกระทำการใด อันจะมีผลเป็นการควบคุม ระงับหรือบรรเทาผลร้ายจากอันตรายและความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้อย่างทันท่วงที ในกรณีที่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ก่อให้เกิดภาวะมลพิษดังกล่าว ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งบุคคลนั้นไม่ให้กระทำการใดอันจะมีผลเป็นการเพิ่มความรุนแรงแก่ภาวะมลพิษในระหว่างที่มีเหตุภยันตรายดังกล่าวด้วย
อำนาจในการสั่งตามวรรคหนึ่ง นายกรัฐมนตรีจะมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดแทนนายกรัฐมนตรีได้ โดยให้ทำเป็นคำสั่งและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในการปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้สั่งตามวรรคสองแล้ว ให้ประกาศคำสั่งดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาโดยมิชักช้า