แนะใช้ความสัมพันธ์ ‘ชาติพันธุ์’ ช่วยเจรจาข้ามแดน แก้วิกฤตพิษปนเปื้อน น้ำกก-น้ำสาย

ปธ.มหาวิทยาลัยชนเผ่าอาข่า เสนอ โมเดลดึงเครือข่ายชาติพันธุ์ ตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ฝั่งไทย – เมียนมา ช่วยเจรจาข้ามพรมแดนแก้ปมสารพิษเหมืองปนเปื้อน เชื่อคุยภาษาเดียวกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกัน อาจมีแนวโน้มความสำเร็จมากกว่าพึ่งระบบรัฐส่วนกลาง และ การทูต เพียงอย่างเดียว

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 ที่บ้านสันป่าสัก ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในเวทีเสวนาเปิดพื้นที่การเรียนรู้ สร้างโอกาสเศรษฐกิจ ด้วยเครือข่ายเพื่อชาติพันธุ์ จัดโดย คณะบุคคลการเดินทางของเมล็ดพันธุ์ Seeds Journey อานุภาพ ชื่นพงศ์ธรรม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.โป่งผา เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำสายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลกระทบทางอ้อมผ่านระบบชลประทานที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายเพื่อรดพืชผักในฤดูแล้ง แม้ชุมชนจะไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำสายเพื่ออุปโภคบริโภคโดยตรง แต่ระบบน้ำที่ส่งมาจากระยะทางกว่า 6 – 7 กิโลเมตร ได้กลายเป็นเส้นทางนำพาปลาที่อาจปนเปื้อนสารพิษเข้าสู่แม่น้ำสาขาและพื้นที่เกษตรกรรม

“ปลามันไม่ได้อยู่แค่ในแม่น้ำสาย มันเข้ามากับระบบชลประทาน แล้วก็ไหลต่อไปยังแม่น้ำสาขาต่าง ๆ ในพื้นที่ พอระบบน้ำกระจาย ปลาเหล่านี้ก็ไปทั่ว ชาวบ้านหลายคนไม่กล้าจับปลากินเหมือนเมื่อก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าปลาพวกนี้ติดเชื้ออะไรหรือไม่”

อานุภาพ ชื่นพงศ์ธรรม

ผู้ใหญ่บ้าน ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ปลาที่เคยจับบริเวณชลประทาน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ชาวบ้านใช้ทำการเกษตร ก่อนหน้านี้ยังสามารถนำมาบริโภคได้อย่างสบายใจ แต่หลังจากมีข่าวเรื่องปลาผิดปกติในแม่น้ำกก และแม่น้ำสายที่ก็พบสารหนูเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านเริ่มระแวง ไม่แน่ใจว่าปลาที่จับได้จากแหล่งน้ำเหล่านี้ได้รับผลกระทบหรือไม่

ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก ประธานมหาวิทยาลัยชนเผ่าอาข่า ระบุถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำสาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนปลายน้ำในฝั่งไทย โดยเสนอว่า ควรใช้ “กลุ่มชาติพันธุ์” เป็นตัวกลางเชื่อมต่อการเจรจาข้ามพรมแดน มากกว่ารอให้รัฐดำเนินการเพียงลำพัง

“พื้นที่ต้นน้ำอยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ดำเนินธุรกิจ และควบคุมพื้นที่แบบเอกเทศ การเข้าไปเจรจาหรือกดดันผ่านรัฐบาลจีนหรือกลุ่มติดอาวุธอย่าง ว้า อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะระบบอำนาจในพื้นที่เหล่านั้นซับซ้อนและไม่ได้อยู่ภายใต้กลไกรัฐอย่างแท้จริง”

ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก

ไกรสิทธิ์ ยังระบุด้วยว่า ทางออกที่เป็นไปได้คือ การใช้ความสัมพันธ์ของเครือข่ายชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในทั้ง 2 ฝั่งของชายแดน โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในพื้นที่เขตปกครองพิเศษ ซึ่งสามารถเปิดช่องทางการสื่อสารและสร้างความร่วมมือได้จริง

“เรามีเครือข่ายชาติพันธุ์ที่รู้จักกันดีทั้งในฝั่งไทยและเมียนมา หากใช้กลไกเหล่านี้เจรจา น่าจะมีแนวโน้มสำเร็จมากกว่าการพึ่งระบบการทูต หรือคำสั่งจากส่วนกลาง เพราะพื้นที่แบบนั้นต้องคุยกันด้วยความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ และภาษาเดียวกัน

ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก

ไกรสิทธิ์ บอกด้วยว่า แนวทางนี้อาจต้องใช้ยุทธศาสตร์พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารเชิงวัฒนธรรม การเจรจาแบบไม่เป็นทางการ หรือการสร้างแรงกดดันจากเครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ในหลายประเทศ เพื่อขอความร่วมมือในการจัดการต้นตอของปัญหา

“เราไม่ควรมัวแต่ขอความช่วยเหลือจากรัฐหรือรัฐบาลใหญ่ เพราะท้ายที่สุดเขาก็โยนปัญหากลับมา โดยอ้างว่าเป็นเขตปกครองพิเศษ ไม่ใช่หน้าที่ของเขา กลยุทธ์ชาติพันธุ์นี่แหละที่อาจเปิดทางให้เกิดความร่วมมือได้จริง”

ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก

ไทยต้องจัดทำแผนที่ความสัมพันธ์กลุ่มชาติพันธุ์พื้นที่ชายแดน

ขณะที่ ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ หรือ อาจารย์ชิ อาจารย์ประจำสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า ข้อเสนอที่ให้ใช้กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยเป็นกลไกเชื่อมความสัมพันธ์และการเจรจากับกลุ่มผู้ควบคุมพื้นที่เหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เป็นแนวทางที่น่าสนใจ และมีศักยภาพในการคลี่คลายปัญหาเชิงสันติวิธี แต่จำเป็นต้องทำ แมปปิง หรือการทำแผนที่ความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นระบบก่อน

“ในประเทศไทยเรามีเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่พอสมควร และบางกลุ่มก็มีความสัมพันธ์โดยตรงกับกลุ่มชาติพันธุ์ฝั่งเมียนมาที่ควบคุมพื้นที่เหมือง เพราะฉะนั้นหากเราจะใช้กลไกนี้จริง ๆ ต้องแมปปิงให้ชัดว่ากลุ่มไหนสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มไหนได้บ้าง”

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

อย่างไรก็ตาม อ.ชิ ย้ำว่า กลไกของกลุ่มชาติพันธุ์เพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด จำเป็นต้องใช้ควบคู่ไปกับกลไกของรัฐและช่องทางทางการทูตระหว่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการเขตแดนไทย-เมียนมา หรือกลไกในระดับอาเซียน

“เราใช้แค่กลไกรัฐอย่างเดียวก็ไม่พอ ใช้แต่กลไกชายแดนอย่างเดียวก็ไม่พอ กลไกชาติพันธุ์จึงอาจเป็นกลไกเสริมสำคัญที่เข้าไปมีบทบาทร่วมในกระบวนการเจรจา ซึ่งจะต้องมีการออกแบบอย่างระมัดระวัง และต้องยึดโยงกับความไว้เนื้อเชื่อใจในพื้นที่”

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active