ป่าโกงกาง ช่วยดักขยะจากเจ้าพระยา ก่อนไหลออกทะเลอ่าวไทย พบ ขยะพลาสติก เพิ่มขึ้นหลังโควิด ภาคประชาสังคม หวัง มาตรการควบคุมที่ต้นทางเข้มข้น ช่วยแก้ปัญหาได้
วันนี้ (9 มิ.ย. 68) The Active ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์ขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พบขยะในแม่น้ำพัดขึ้นมาเกยฝั่ง หรือที่เรียกว่า หาดบางกะเจ้าเป็นจำนวนมาก
เช่นเดียวกับขยะสะสมในช่วง 2 เดือนที่เจ้าหน้าที่จัดเก็บไม่หมด พบเป็นแนวยาวเกือบ 100 เมตร ตลอดแนวชายฝั่ง เกินครึ่งเป็นขยะจากพลาสติก เช่น ขวดน้ำ ฝาน้ำ ถุงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง และจากการสังเกตยังพบกล่องโฟมบรรจุอาหารที่คณะรัฐมนตรี มีมติให้ห้ามใช้ในประเทศไทยอย่างถาวร เมื่อปี 2565 รวมอยู่ด้วย

เจ้าหน้าที่สวนเฉลิมพระเกียรติฯ 80 พรรษา เล่าว่า ปกติทางสวนจะมีรอบเก็บขยะบริเวณหาดทุกวันอาทิตย์ รอบล่าสุด 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา เก็บขยะรวมกันได้ 154 กิโลกรัม แบ่งเป็น
- ขยะทั่วไป 150 กิโลกรัม
- ขวดพลาสติก 3 กิโลกรัม
- ขวดแก้ว 1 กิโลกรัม
หากเป็นขยะพลาสติกจะส่งเข้าสถานีรีไซเคิลภายในวัดจากแดง ทำเป็นจีวร ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เปลี่ยนเป็นพลังงาน สวนเศษไม้จะนำไปประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ใช้สอยเพื่อคืนชีวิตให้ขยะเหล่านี้อีกครั้ง

ธนากร สัณหรักษ์ ประธานบริหารน้ำชุมชน คุ้งบางกะเจ้า บอกว่า ปกติขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา จะพัดเข้ามาหาฝั่งจำนวนมากช่วงเดือน ต.ค. – พ.ย.ของทุกปี และตกค้างเป็นจำนวนมากเนื่องจากเป็นช่วงโค้งน้ำก่อนไหลออกสู่อ่าวไทย และมีป่าโกงกางที่คอยดักเก็บขยะเอาไว้ จนชาวบ้านที่นี่มองว่ากลายเป็นถังขยะไปแล้ว แต่ก็ดีใจที่ช่วยป้องกันขยะเหล่านี้ไม่ให้ไหออกสู่ทะเล ที่จะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ และสุดท้ายก็วนกลับมาหามนุษย์ ที่กินไมโครพลาสติกซึ่งสะสมในสัตว์ทะเลเข้าไป
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ขยะพลาสติกมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่างจากช่วงที่รัฐบาลเดินหน้า Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง รวมถึงการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายใน ปี 2570 ส่วนหนึ่งอาจมาจากการระบาดของโควิด-19 ช่วงปี 2563 ที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ มีบริการเดลิเวอรี่อาหารเพิ่มขึ้น จนปริมาณขยะพลาสติกกลับมาเพิ่มขึ้นจากปกติ 15% หรือ 6,300 ตันต่อวัน และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงหลังมาตรการคลายล็อกดาวน์ จึงอยากให้ภาครัฐกลับเดินหน้าตาม Roadmap อีกครั้ง

“อยากฝากหน่วยงานภาครัฐ หันกลับมารณรงค์จัดการขยะที่ต้นทาง เช่น การบริการจัดการขยะภายในครัวเรือนให้ได้มากที่สุด รีไซเคิลเพื่อคืนชีวิตให้ขยะ รวมถึงการประชาสัมพันธ์กับประชาชนที่อยู่ริมน้ำ เรือโดยสาร ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำ ลำคลอง”
ธนากร สัณหรักษ์
ทั้งนี้ มาตรการจัดการขยะภายใน 6 ตำบลคุ้งบางกะเจ้า เช่น การให้ความรู้ด้านคัดแยกขยะ ณ ศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม วัดจากแดง , สถานีขยะล่องหน, รณรงค์คัดแยกขยะในครัวเรือน, กิจกรรมท่องเที่ยวเก็บขยะ และการร่วมรณรงค์ในระดับประเทศ เช่น กิจกรรมพายเรือเพื่อเจ้าพระยา แต่ทั้งอาจไม่เพียงพอหากขยะจากต้นทางทั้งหมดที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยายังไม่ถูกจัดการ
‘เจ้าพระยา’ แม่น้ำสายหลักปนเปื้อนขยะเฉลี่ย 3,400 ตัน/ปี
ก่อนหน้านี้ในปี 2567 กรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม นำ Interceptor 019 ติดตั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเรือที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และมาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีของ The Ocean Cleanup ในการช่วยดักจับขยะในแม่น้ำ เพื่อช่วยสกัดขยะพลาสติกก่อนที่จะถูกพัดพาลงสู่มหาสมุทร โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สามารถดักจับขยะได้มากกว่า 150 ตัน

ปัจจุบัน กทม. สนับสนุนการปฏิบัติงานที่จำเป็นด้านการขนถ่ายและจัดการคัดแยกขยะ นอกเหนือจากขยะพลาสติกที่ Interceptor ดักจับได้ ทาง กทม. ยังสามารถจัดการขยะในแม่น้ำได้ราว 3,400 ตันต่อปี และยังรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหามลพิษให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ได้มีการเก็บข้อมูลของขยะที่ Interceptor 019 ดักจับได้ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของขยะพลาสติก และมุ่งศึกษาวิธีการสกัดและดักจับขยะพลาสติกก่อนที่จะไหลเข้าสู่ช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะบรรจบกับอ่าวไทยและพัดพาขยะพลาสติกไปยังมหาสมุทร
ไทย TOP 10 ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุด
ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า แต่ประเทศไทยมีขยะรั่วไหลลงสู่ทะเลเฉลี่ย 50,000 ตันต่อปี หรือประมาณ 750 ล้านชิ้น โดยแหล่งที่มามี ทั้ง กิจกรรมบนบก เช่น ชุมชน แหล่งท่องเที่ยวชายหาด และอีกส่วนคือกิจกรรมในทะเลเช่น การประมง การขนส่งทางทะเล
โดยประเภทขยะที่ตกค้างในระบบนิเวศชายฝั่งทะเลมากที่สุด เป็นขยะจากพลาสติกที่มีสัดส่วนรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของขยะทุกประเภทรวมกัน ได้แก่

- ขวดพลาสติก 22%
- ถุงพลาสติก 19.42%
- หลอด 6.45%
- ฝาพลาสติก 5.67
จากข้อมูลนี้ก็อาจจะแสดงให้เราเห็นว่าขยะที่พบในทะเลส่วนใหญ่มาทั้งการอุปโภค และบริโภคในแต่ละวันของผู้คน ที่ไม่เพียงจะทำลายทัศนียภาพกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่ยังส่งผลกระทบในด้านของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ทะเลที่เผลอกินขยะพลาสติกเข้าไป หรือตายจากการถูกเศษเชือกอวนรัดจนบาดเจ็บ
อีกทั้งขยะทะเลที่แตกตัวกลายเป็นไมโครพลาสติก ก็จะเข้าไปปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารผ่านการบริโภคของมนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายงานวิจัยพบไมโครพลาสติกในทางเดินอาหารของกุ้ง และหอย เกลือ น้ำดื่ม หรือแม้กระทั่งในปัสสาวะของมนุษย์

ขณะที่ ในภาพรวม ปี 2568 องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า มีขยะพลาสติกอยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก 75 – 199 ล้านตัน และหากแนวโน้มปัจจุบันยังดำเนินต่อไป ภายใน พ.ศ. 2593 หรืออีก 25 ปี จะมีพลาสติกในทะเล (โดยน้ำหนัก) มากกว่าปลา
โดยประเทศไทยยังไม่หลุดโผ ติดอันดับ 10 ของประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดอยู่ที่ 23,000 เมตริกตันต่อปี เนื่องจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกได้รับความนิยม พฤติกรรมการทิ้งและคัดแยกที่ไม่ถูกต้อง ระบบการจัดการขยะขาดประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะถุงพลาสติก ประเทศไทยมีการประเมินว่ามีการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้งถึง 45,000 ล้านใบต่อปี หรือ 1 คนจะใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ย 8 ใบต่อวัน ทำให้มีขยะมากถึง 80 ล้านใบต่อวัน ซึ่งหากหลุดรอดไปในสิ่งแวดล้อมจะมีอายุยาวนานหลายร้อยปี
นอกจากการจัดการขยะที่ปลายทาง วันมหาสมุทรโลก ปี 2568 ภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวทางไปสู่การมีกฎหมายจัดการขยะที่เข้มแข็งกว่าเดิม โดยเฉพาะการปรับใช้แนวคิด EPR หรือ “การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต”
โดยแนวคิด EPR จะทำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก ต้องรับผิดชอบสินค้าตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน และไปจนถึงการจัดการเมื่อกลายเป็นขยะ ซึ่งจะช่วยลดภาระของรัฐและชุมชนในการจัดการขยะพลาสติก พร้อมย้ำว่า จุดยืนของไทยในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องหยุดตั้งแต่การผลิต