นักวิชาการ ชี้ รัฐไร้หนทางเจรจาปิดเหมือง เลือกตั้งรับสร้างฝาย สงสัยตะกอนพิษเอาไปทิ้งที่ไหน ขณะที่ กมธ.ทรัพยากรฯ วุฒิสภา ย้ำ สร้างฝายต้องทำคู่ขนานเจรจาหยุดแหล่งปล่อยมลพิษ แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นรัฐขยับ
ชีวะภาพ ชีวะธรรม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เปิดเผยถึงข้อกังวลปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเมียนมาส่งผลกระทบต่อพื้นที่แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง จ.เชียงราย และ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งประเด็นนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในที่ประชุมกรรมาธิการฯ มีประเด็นที่กังวลคือ เรื่องของมาตรฐานของการตรวจคุณภาพน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานลงพื้นที่ตรวจ มีหน่วยงานรับผิดชอบหลัง คือกรมควบคุมมลพิษ แต่ตอนนี้มีสถาบันการศึกษา นักวิชาการอิสระ ใช้ชุดตรวจและวิธีการคนละอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องของความห่วงใย และส่วนหนึ่งก็ทำตามหน้าที่แต่ผลที่ออกมาส่งผลต่อเป็นความเชื่อมั่นประชาชนได้
“กรรมาธิการฯ เห็นว่าต้องตรวจได้ผลนิติวิทยาศาสตร์ต้องชัดก่อน ตรวจได้ ตรวจสารเคมีตัวไหน วิธีการตรวจต้องชัดก่อน ถึงจะสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน”
ชีวะภาพ ชีวะธรรม
ชีวะภาพ ย้ำด้วยว่า ก่อนจะแจ้งเตือนประชาชนเมื่อนิติวิทยาศาสตร์ออกมาสมบูรณ์แล้ว ควรวิเคราะห์ให้เห็นผลกระทบ เช่น พืชผักสวนครัว ปลา มีผลกระทบแค่ไหน อย่างไร หรือนำน้ำไปปลูกข้าว หรือรดข้าวโพด ต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบตรงนี้ให้ได้ก่อนและนำไปถ่ายทอดและสร้างการรับรู้
ส่วนผลกระทบในเรื่องของการท่องเที่ยวทราบข้อมูลว่ายังไม่มีนัยยะสำคัญ ยังมีเที่ยวบินปกติ เม็ดเงินที่เข้ามาและใช้จ่ายยังคงปกติ แต่ทุกภาคส่วนยอมรับยังก็มีความกังวลอยู่ในระยะยาว


ย้ำต้องศึกษา ‘ฝายดักตะกอน’ ให้ชัดก่อนสร้าง
เมื่อถามว่า “ฝายดักตะกอน” ยังจำเป็นหรือไม่นั้น ชีวะภาพ ระบุว่า การออกแบบฝายดักตะกอนศึกษาไว้ก่อนก็ได้ งานวิชาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอาจศึกษาไว้ก่อนเป็นคู่ขนาน แต่ต้องบอกว่าเป็นการศึกษา เพราะทุกคนตกใจ ทำไมจะไปสร้างฝ่ายดักตะกอน ซึ่งคำถามที่จะตามมาคือการสร้างฝายดักตะกอนได้ผลแค่ไหน หรือมีความสำเร็จอย่างไร และต้องใช้งบประมาณเท่าไร ทุกวันนี้ทุกคนกังวลไปหมด หรือบางคนอาจมองว่าเกิดเหตุช่วงวิกฤตจะเป็นการเอางบประมาณไปลงหรือไม่
ชีวะภาพ ย้ำว่า ฝายดักตะกอนยังเป็นที่ถกเถียง หากเห็นว่ามีผลกระทบก็ต้องศึกษา ให้เห็นรูปแบบชัดเจน ซึ่งกรรมาธิการฯ นำหนังสารคดีเหมืองตะกั่วคลิตี้ล่างมาดู ปรากฏว่าเรื่องฝายดักตะกอน ไม่มีใครตอบได้ว่าได้ผลอย่างไร แก้ไขปัญหาได้ขนาดไหน ซึ่งมีนักวิชาการบางกลุ่มตั้งคำถามว่าฝายลักษณะนี้ การันตีได้แค่ไหน ถ้าน้ำนิ่ง หรือฝนตกหนักน้ำไหลแรงตะกอนอาจไม่ทันตกตะกอน และไม่ทันดูดเก็บไปตามขั้นตอนและวิธีการก็เสี่ยงที่จะไหลไปที่อื่นอีก ซึ่งจะเกิดการแพร่กระจายอีกหรือไม่
ขณะเดียวกันความวิตกกังวลไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้ ยังมีเรื่องของความคุ้มค่าซึ่งไม่มีใครบอกได้ ยกตัวอย่าง กรณีสร้างเขื่อน ยังคำนวณว่าเก็บน้ำได้กี่ลูกบาศก์เมตร ตัดต้นไม้ไปเท่าไร ก็ยังพออนุมานได้ แต่การสร้างฝายต้องนำกรณี บ้านคลิตี้มาพิจารณา
อยากสร้างฝายต้องทำคู่ขนานเจรจาหยุดเหมือง
ชีวะภาพ บอกด้วยว่า การสร้างฝายต้องทำคู่ขนานกันกับการเร่งการเจรจาหยุดแหล่งปล่อยมลพิษ ที่ผ่านมากรรมาธิการฯ มองว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องทำวันนี้ ต้องเปิดประชุม เรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากร หรือแก้ปัญหามลพิษระหว่างประเทศ ซึ่งยังไม่เห็นมีการประชุม
“ปัจจุบันผลนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดว่าเป็นเหมืองประเภทไหน และมีขั้นตอนอย่างไร ที่สำคัญที่สุด ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีการประชุม เช่น MRC ถ้าไปดูโครงสร้าง ไม่มีประเทศจีน และเมียนมา ร่วมด้วยถ้าประชุมจะทำอะไรได้หรือไม่ ที่ผ่านมามีแต่การเขียนอีเมล์โต้ตอบกันอยู่ระหว่างไทย-เมียนมา ยังไม่ปรากฏว่ามีการประชุมอะไรเลย”
ชีวะภาพ ชีวะธรรม
ประธาน กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติฯ สว.ย้ำว่า ตอนนี้กรรมาธิการฯ มองว่าทุกอย่างจะต้องทำพร้อมกันหมด แม้แต่เรื่องการศึกษาฝายดักตะกอน ฝ่ายที่ต้องเจรจาก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องมีการตรวจสอบการค้าระหว่างประเทศ ว่า แร่บางส่วนอาจถูกส่งเข้ามาในประเทศไทย หรือไม่
“แร่เหล่านี้ได้มาถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เป็นแร่ที่สร้างมลพิษไหลมากับน้ำในประเทศไทยหรือไม่ ถ้าได้ข้อมูลเป็นที่ประจักษ์ว่ามาจากรัฐฉานทำให้เกิดปัญหากับประเทศไทยก็ต้องมีการเจรจา และกดดันทางการค้า หรือ หรือตัดทอนสินค้าที่ต้องนำเข้า เพราะอาจจะเป็นส่วนสนับสนุนในการทำเหมืองแร่ หรือนำแร่เข้ามาถ้าไม่มีอะไรจะช่วยได้ในกฎหมายระหว่างประเทศ ถ้าจำเป็นต้องกดดันอะไรก็ต้องทำทุกทาง”
ชีวะภาพ ชีวะธรรม
กรรมาธิการฯ ยังเตรียมเชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม และลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ เพื่อหาข้อมูลและข้อเสนอแก้ปัญหาเหมืองแร่ต้นแม่น้ำต่อไป
ชี้รัฐไร้หนทางเจรจาหยุดมลพิษต้นทาง เลือกแต่วิธีการตั้งรับ
ด้าน สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตั้งข้อสังเกตโดยระบุว่า รัฐบาลรับรู้ดีว่าไม่สามารถกดดันให้ยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งเป็นต้นเหตุของสารปนเปื้อนในแม่น้ำกได้ จึงเลือกใช้แนวทาง ตั้งรับ โดยประกาศสร้างฝายดักตะกอน 7 – 8 จุดตลอดลำน้ำก เพื่อลดปริมาณสารโลหะหนักที่ไหลลงมา โดยอ้างอิงจากฝายเชียงราย ที่เคยมีผลวัดค่าตะกอนโลหะหนักลดลง
“รัฐบาลเชื่อว่าฝายเชียงรายเวิร์ค เพราะแม้ค่าศาลโลหะยังเกินมาตรฐาน แต่ค่าดัชนี K1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่ง กลับลดลงหลังมีการดักตะกอน ทำให้เชื่อว่าการสร้างฝายจะช่วยแก้ปัญหาได้”
สืบสกุล กิจนุกร

ส่วนความเหมาะสมของแนวทางดังกล่าวนั้น นักวิชาการ ชี้ว่า แม้ตะกอนจะถูกดักไว้ แต่สิ่งที่ตามมาคือปัญหาใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้กัน นั่นคือ ปริมาณตะกอนปนเปื้อนสารโลหะหนักจำนวนมหาศาล ที่ต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง
“เราจะเอาตะกอนไปทิ้งที่ไหน ใครจะยอมรับตะกอนที่มีสารพิษ ? แล้วต้องตักอีกกี่ปี กว่าจะหยุดปัญหาได้ เพราะเหมืองยังทำต่อทุกวัน แนวคิดการสร้างฝายหลายจุด เท่ากับเป็นการแก้ปัญหาหนึ่ง แต่กลับก่อปัญหาใหม่อีกหลายด้าน ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม การยอมรับของชุมชน และภาระทางงบประมาณ”
สืบสกุล กิจนุกร
แม้รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าโครงการ แต่กลับไม่มีแผนรองรับสำหรับแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำกก และอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ทั้งยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่องการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือการเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
“โครงการใหญ่แบบนี้ควรมีการทำ EIA และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเลยว่าเคยมีการรับฟังความคิดเห็น หรือประเมินความเป็นไปได้จริง ๆ ด้วยซ้ำ”
สืบสกุล กิจนุกร
นักวิชาการ ยังเตือนว่า หากรัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าสร้างฝายโดยไม่จัดการที่ต้นเหตุ การดักตะกอนก็จะต้องทำซ้ำทุกวัน โดยไม่มีที่สิ้นสุด และกลายเป็นภาระที่รัฐและประชาชนต้องแบกรับอย่างต่อเนื่อง

ชาวบ้านริมกกไม่เอาฝาย หวั่นน้ำแรง-ดินอ่อน พังซ้ำซาก
ขณะที่ แก้ว ทิมทอง ชาวบ้าน ม.14 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ คัดค้านแนวคิดสร้างฝายถาวรในพื้นที่ หวั่นกระทบระบบน้ำตามธรรมชาติ และกังวลเรื่องความปลอดภัยจากสภาพดินที่ไม่มั่นคง หลังเคยเห็นระดับน้ำสูงผิดปกติจนไหลเข้าถึงพื้นที่อยู่อาศัย แม้ไม่มีสิ่งกีดขวางน้ำใด ๆ
“ขนาดไม่มีฝาย น้ำยังแรงจนไหลเข้ามาถึงตรงนี้(หน้าบ้าน) อยู่มาตั้งนานยายยังไม่เคยเห็นน้ำแรงแบบนี้มาก่อน หากมีการสร้างฝาย อาจช่วยชะลอน้ำได้บ้าง แต่หากน้ำถูกกักไว้จำนวนมากแล้วฝายเกิดพังขึ้นมา จะยิ่งเป็นอันตรายมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อดินบริเวณนี้มีสภาพอ่อน และดูดซับน้ำได้ง่าย”
แก้ว ทิมทอง
เช่นเดียวกับ เพียว ทิมทอง ชาวบ้าน ม.14 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ บอกว่า กลัวพังอย่างเดียว เพราะดินแถวนี้มันอ่อน คนแถวนี้รู้กันดี ถ้าอัดคอนกรีตแน่น ๆ ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี เพราะรอบ ๆ มันยังซึมน้ำได้ ไม่ได้อัดทั้งหมดเหมือนกัน เสารั้วบางบ้านยังร้าวเพราะน้ำดัน
โดยย้ำว่า ไม่ได้มีแค่หมู่บ้านตัวเองที่ไม่เห็นด้วย แต่หลายชุมชนตลอดแนวแม่น้ำกก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ ต่างก็รู้สึกไม่สบายใจกับโครงการนี้ ขณะที่คนในพื้นที่สูงอาจไม่รู้สึกถึงผลกระทบโดยตรง จึงไม่แสดงความเห็นมากนัก
ก่อนหน้านี้เมื่อ 20 ปีก่อน ก็เคยมีการเสนอสร้างฝายแม่น้ำกก ในพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลเข้าประเทศไทยจุดแรก ที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เช่นกัน แต่มุมมองจากคนในพื้นที่สะท้อนว่า การแก้ปัญหาจำเป็นต้องฟังเสียงชาวบ้านให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากและระบบนิเวศที่เปราะบาง
สอดคล้องกับ ปฐมพงศ์ แผงฤทธิ์ ประธานผู้ใช้น้ำฝั่งขวา ฝายเชียงราย อ.เมืองเชียงราย ก็ไม่เห็นด้วยกับการสร้างฝายดักตะกอน พร้อมเสนอว่าควร ปิดเหมือง มากกว่า
“ฝายดักตะกอนอาจดักตะกอนได้บ้าง แต่ของเหลวกับตะกอนมันมาด้วยกัน สุดท้ายสารปนเปื้อนก็ไหลลงมาอยู่ดี… ถ้าเอาจริง ผมว่า ปิดเหมืองไปเลยจะดีกว่า ไม่อยากให้ลูกหลานต้องมารับผลกระทบแบบนี้”
ปฐมพงศ์ แผงฤทธิ์
แต่สำหรับ วรเพชร ศิริชุมพู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย มองว่า เป็นแนวทางที่ดี หากสามารถใช้งานได้จริง ถ้ามีการก่อสร้างเพื่อให้น้ำสะอาดขึ้น เอาไปใช้ทำมาหากินได้ก็เห็นด้วย ถือเป็นการช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ก็อยากให้มั่นใจว่าทำแล้วได้ผล ไม่ใช่ทำแล้วไม่เวิร์ก เพราะถ้าใช้งบฯ แต่ไม่มีผลก็น่าเสียดาย