ครม.ขานรับข้อเสนอ กสม. จี้ จัดการ ‘มลพิษข้ามแดน’ น้ำกก-น้ำสาย

ย้ำ สถานการณ์สารโลหะหนักปนเปื้อน จากกิจการเหมืองในเมียนมา ละเมิดสิทธิประชาชน มอบหมาย ทส.หน่วยงานหลัก บูรณาการหลายกระทรวง ตรวจสุขภาพ-จัดหาน้ำสะอาด-ฟื้นฟูแหล่งน้ำ พร้อมรายงานความคืบหน้า ใน 30 วัน

วันนี้ (15 ก.ค. 68) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบข้อเสนอแนะจาก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เกี่ยวกับมาตรการหรือแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะกรณีการปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย ที่มีต้นตอมาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

ย้ำสถานการณ์มลพิษ น้ำกก-น้ำสาย ‘ละเมิดสิทธิประชาชน’

รายงานของ กสม. ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น จากการทำเหมืองแร่ทองคำ และแรร์เอิร์ธของบริษัทเอกชนที่ไม่ทราบสัญชาติ บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน โดยใช้สารเคมีอันตรายในการสกัดแร่ ทำให้ดินและกากแร่ปนเปื้อนโลหะหนัก อาทิ สารหนู แคดเมียม และปรอท ไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และลามเข้าสู่เขตแดนไทย โดยไม่มีระบบบำบัดหรือควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

กสม.เห็นว่า สถานการณ์นี้เป็นการละเมิดสิทธิประชาชน ในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัย และหากไม่มีมาตรการป้องกัน อาจลุกลามสู่ลุ่มน้ำโขงในอนาคต ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้น

ข้อเสนอ กสม. คุ้มครองสิทธิมนุษยชน

1. มาตรการภายในประเทศ

  • ให้กรมควบคุมมลพิษ เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชน และพัฒนาระบบเตือนภัยให้รวดเร็วและทั่วถึง

  • ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคจากโลหะหนัก (โดยเฉพาะสารหนู) ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

  • ให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย จัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองในพื้นที่ประสบภัย พร้อมวางแผนจัดหาแหล่งน้ำดิบที่ปลอดภัย และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพ

  • ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบต่อภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมออกมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า

  • ให้สนับสนุนงบประมาณ สำหรับการขจัดสารพิษ ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพืชพรรณริมตลิ่ง เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ

  • ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เป็นหน่วยประสานหลัก เสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แต่งตั้งหรือปรับปรุงองค์ประกอบของอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่

2. มาตรการระหว่างประเทศ

  • ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจรจากับประเทศแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อยุติกิจการเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุโดยเร็ว ผ่านกลไกความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค

  • ส่งเสริมการพัฒนากฎหมายภายในของประเทศในภูมิภาค เพื่อรองรับการจัดการมลพิษข้ามพรมแดน การป้องกันและเยียวยาผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม

ครม.มอบ ทส. หน่วยหลัก บูรณาการทุกกระทรวง-รายงานความคืบหน้าใน 30 วัน

ครม. ยังมีมติให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา ร่วมกับกระทรวงกลาโหม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงบประมาณ, สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, คณะกรรมการลุ่มแม่น้ำโขงเหนือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยให้ ทส.สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินงานในภาพรวม และส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน เพื่อให้การดำเนินการตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของ กสม. เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน และทันต่อสถานการณ์มลพิษที่กำลังลุกลามในภูมิภาค

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active