กรรมาธิการเสียงข้างมาก ยัน กองทุนอากาศสะอาด ไม่สร้างภาระงบประมาณ ไม่ซ้ำซ้อน เชื่อเป็นมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการปล่อยมลพิษ หัวใจหลัก กฎหมายอากาศสะอาด
วันนี้ (9 ต.ค. 68) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาวาระ 2 ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งเป็นการพิจารณาต่อตั้งแต่มาตรา 69/13
วิชิต จรัสสุขสวัสดิ์ กรรมาธิการเสียงข้างน้อย ผู้สงวนความเห็น ให้ตัดหมวด 6/1 กองทุนอากาศสะอาดออก ทั้งหมด อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการเพิ่ม กองทุนอากาศสะอาด เพราะเห็นว่า การจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนขึ้นมาใหม่ อาจจะส่งผลกระทบต่อภาระทางการคลังได้ในระยะยาว

โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนโดยไม่ผ่านกลไกการพิจารณาตามพระราชบัญญัติกองทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ที่ระบุว่าการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ที่จะพิจารณาเรื่องภาระงบประมาณ ความซ้ำซ้อนกับกองทุนที่มีอยู่แล้ว การตั้งกองทุนต้องดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2537 มีกองทุนสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ซึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดได้ โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่
ด้าน บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจง ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด โดยชี้แจงในประเด็นกระบวนการจัดตั้งและภาระงบประมาณว่า ในการพิจารณาวาระ 1 รับหลักการ ในร่างกฎหมายฉบับประชาชนได้มีการระบุเรื่องกองทุนอากาศสะอาดเอาไว้ ขณะที่ร่างของรัฐบาล ซึ่งตนเป็นประธานร่างกฎหมาย ทราบมาก่อนแล้วว่าในร่างของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอมีระบุเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว และตั้งใจว่าจะมาพิจารณาต่อในชั้นกรรมาธิการหลังผ่านสภาฯ วาระ 1
ส่วนภาระทางงบประมาณในมาตรา 69/37 เงินในกองทุนจะมาจากมาตรา 69/34 (2) คือ เงินค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งสภาฯ ได้มีมติเห็นชอบในมาตรานี้ไปแล้วก่อนหน้า ส่วนเงินตั้งต้นที่เป็นทุนรัฐบาลจัดสรรให้จะเป็นเพียงครั้งเดียว และขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่รัฐบาลจะจัดสรร

พร้อมเสริมว่า เงินกองทุนกับค่าธรรมเนียม ในกรรมาธิการไม่ได้ตั้งใจที่จะเก็บเงินให้มาก โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด เพราะนั่นหมายความว่าการเก็บเงินได้มาก หมายถึงการที่ยังมีคนปล่อยมลพิษทางอากาศมาก การมีเครื่องมือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์นี้ เป็นความตั้งใจเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การประกอบการผลิตเพื่อลดการปล่อยมลพิษ PM 2.5 และมลพิษทางอากาศต่าง ๆ ให้มากที่สุด ซึ่งหมายความว่ากองทุนนี้ไม่ได้เป็นภาระด้านงบประมาณ
ส่วนประเด็นเรื่องการจัดตั้ง ในชั้นกรรมาธิการได้มีการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างพระราชบัญญัติกองทุนหมุนเวียน มาตรา 14 ระบุว่า ให้หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี โดยในมาตรา 4 ของกฎหมายนี้ ระบุคำนิยามของหน่วยงานของรัฐว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม หรือหน่วยงานสังกัดรัฐสภา หรือหน่วยงานของรัฐโดยคณะกรรมการนโยบายบริหารกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จากนิยามนี้ คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญไม่ได้เป็นหน่วยงานภายในสังกัดตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายฯ ตามมาตรา 14
อย่างไรก็ตาม ได้มีการพิจารณาหลายครั้ง เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความเห็น อนุกรรมาธิการก็มีการหารือกับกระทรวงการคลัง และเมื่อมีข้อสงสัยในประเด็นนี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย คนแรกเป็นอดีตสภาร่างรัฐธรรมนูญ อีกท่านเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดปัจจุบัน ได้ข้อสรุปว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญเป็นหน่วยงานรัฐตามนิยามของกฎหมาย ทำให้คณะกรรมาธิการไม่ได้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารกองทุนหมุนเวียนในการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด
บัณฑูร ยังย้ำว่า กระทรวงการคลังส่งหนังสือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นที่มาของการขอสงวนคำแปรญัตติให้ตัดหมวด 6/1 กองทุนอากาศสะอาดออก ซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างมากเข้าใจในข้อกังวล อาจจะเสนอกฎหมายและเสนอจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนลักษณะเดียวกันนี้ในชั้นกรรมาธิการโดยไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร แต่กองทุนอากาศสะอาด ที่ปรากฏนี้อยู่ในร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้สภาฯ ได้ลงมติโหวต เห็นด้วย 224 เสียง ไม่เห็นด้วย 11 เสียง งดออกเสียง 19 เสียง และไม่ลงคะแนน 4 เสียง สรปว่า สภาฯ โหวตเห็นชอบให้มีหมวด 6/1 กองทุนอากาศสะอาด