ประเมินผลพวง MOU แรร์เอิร์ธ ไทย–สหรัฐฯ หวั่นกระทบอธิปไตย ในนามความร่วมมือ

นักนิติศาสตร์ เตือนเงื่อนไข “first opportunity to invest” เปิดช่องสิทธิลำดับแรกให้นักลงทุนอเมริกัน เสี่ยงกระทบอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ชี้ เอกสารแม้ไม่เป็นสนธิสัญญา แต่มีผลผูกพันทางการเมือง–เศรษฐกิจ เสนอ รัฐใช้ข้อยกเว้นความมั่นคงแห่งชาติจำกัดการเปิดเผยข้อมูลทรัพยากร ขณะที่ นักวิชาการ ย้ำ ปัญหามลพิษน้ำกก–โขง ผลพวงทุนโลกพลังงานสะอาด

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 68 ในเสวนาวิชาการ แร่ยุทธศาสตร์กับเกมภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ : MOU แรร์เอิร์ธ สหรัฐฯไทยมาเลเซียญี่ปุ่น กับผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิชุมชนลุ่มน้ำ จัดโดยสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 

รศ.จารุประภา รักพงษ์สาขา จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ถึง MOU แร่หายาก ไทย-สหรัฐฯ จากมุมมองทางกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าแม้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) จะไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง แต่เอกสารลักษณะนี้ถือเป็น Soft Law หรือกฎหมายที่มีผลผูกพันอย่างอ่อน ซึ่งมักเป็นก้าวแรกของการลงนามความตกลงที่เข้มข้นกว่านี้ในอนาคต

รศ.จารุประภา บอกอีกว่า แม้จะไม่ใช่สนธิสัญญา แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะมันสะท้อนทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์

ห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงทั้งภูมิภาค

รศ.จารุประภา ยังอธิบายว่า เมื่อเปรียบเทียบ MOU ของสหรัฐฯ ที่ลงนามกับไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย จะพบว่า ทั้งหมดอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน (Same Supply Chain) สหรัฐฯ แม้จะแยกลงนามรายประเทศ แต่เนื้อหามีลักษณะเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจ การขุด การแปรรูป (Processing) ไปจนถึงการใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทรัพยากร เพื่อลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่แร่หายาก

โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่ข้อตกลงแร่รายประเทศ แต่คือการจัดวาง Supply Chain ใหม่ทั้งระบบ ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ถูกเชื่อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายยุทธศาสตร์เดียวกัน

ภาพ : มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่

ย้ำผลผูกพันทางการเมืองและเศรษฐกิจ

รศ.จารุประภา อธิบายว่า เอกสาร MOU ลักษณะนี้มักใช้เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางการทูต เพราะถ้าเป็นสนธิสัญญา จะต้องผ่านการรับรองจากสภา เช่น สภาคองเกรสของสหรัฐฯ หรือรัฐสภาไทย แต่ MOU สามารถลงนามได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนั้น อย่างไรก็ดี แม้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่ก็มีผลผูกพันทางการเมืองและเศรษฐกิจในระยะต่อมา

แม้จะเขียนชัดเจนว่าไม่เป็นข้อตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ มันสร้างความคาดหวังระหว่างรัฐ และอาจกลายเป็นกรอบอ้างอิงในความร่วมมือหรือการเจรจาครั้งต่อไป

รศ.จารุประภา ยังชื่นชมเจ้าหน้าที่ไทยที่แทรกถ้อยคำ not legally binding ลงในเอกสารได้ เพราะเป็นการลดแรงกดดันทางกฎหมายระดับหนึ่ง แต่เตือนว่า นัยยะทางการเมืองยังคงอยู่ และหากในอนาคตมีข้อเรียกร้องจากคู่ภาคี รัฐบาลไทยจะต้องพิสูจน์เหตุผลหากปฏิเสธไม่ดำเนินการตาม MOU นั้น

ช่องผูกพันแฝงที่ต้องระวัง

รศ.จารุประภา ยังชี้ว่า หนึ่งในข้อที่อาจส่งผลต่ออธิปไตยของไทย คือ ข้อกำหนดให้ผู้เข้าร่วม (participants) ทั้งสองฝ่าย ต้องแบ่งปันข้อมูล (share information) และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค (technical expertise) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งหมายความว่า ไทยอาจต้องเปิดเผยข้อมูลสำรวจ ศักยภาพทรัพยากร หรือเทคโนโลยีบางอย่างให้แก่สหรัฐฯ ด้วย

โดยคำว่า information ในเอกสารกว้างมาก หากตีความรวมถึงข้อมูลทรัพยากรในประเทศ หรือข้อมูลที่หน่วยงานรัฐถืออยู่ ก็อาจกระทบต่อความมั่นคงได้

อีกข้อสังเกตที่เห็นว่าน่ากังวล คือ ข้อที่ระบุว่าผู้เข้าร่วมจะได้รับโอกาสแรกในการลงทุน (first opportunity to invest) ในโครงการแร่หรือทรัพย์สินที่อยู่ในไทย ซึ่งเธอชี้ว่าคำว่า first opportunity มีน้ำหนักมากกว่า prioritize ที่ใช้ในเอกสารของมาเลเซีย เพราะหมายถึงสิทธิ์ลำดับแรกเพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญก่อน

รศ.จารุประภา บอกอีกว่า ถ้ามีโครงการลงทุนเกิดขึ้น ไทยอาจต้องเสนอสิทธิ์ให้อเมริกาพิจารณาก่อนประเทศอื่น และถ้าไม่ให้ ก็ต้องมีเหตุผลชัดเจนในการปฏิเสธ ซึ่งนี่คือแรงกดดันเชิงโครงสร้างในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ

เธอยังระบุว่า ข้อกำหนดเรื่อง investment project ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer), การสร้างศักยภาพบุคลากร (capacity building), ไปจนถึงการฝึกอบรมและการลงทุนโดยตรง ซึ่งเปิดช่องให้ตีความได้กว้างมาก


ภาพ : มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่

ข้อเสนอการใช้ข้อยกเว้นความมั่นคงแห่งชาติ

รศ.จารุประภา เสนอว่า หากรัฐบาลไทยยังไม่พร้อมดำเนินการในบางข้อ ควรใช้ข้อยกเว้นด้านความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Ground) เป็นเหตุผลในการชะลอหรือจำกัดการเปิดเผยข้อมูล เพราะเป็นข้อยกเว้นที่ได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในกรอบ WTO และข้อตกลงด้านการลงทุน

นี่เป็นทางออกที่ชอบธรรมและใช้ได้จริง หากไม่พร้อม ก็ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เพราะทรัพยากรแร่คือฐานของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ รศ.จารุประภา กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการหลังจากนี้ควรเป็นไปในลักษณะ damage control หรืออย่างน้อย management strategy เพื่อจัดการความคาดหวังของคู่ภาคีและสังคมโลก โดยไม่ทำลายความสัมพันธ์ทางการทูต

ข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับรัฐบาลไทย

รศ.จารุประภา เสนอแนวทางต่อรัฐบาลไทย 4 ประการ

  1. ต้องกำหนดกรอบข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้และไม่ได้ โดยยึดหลักความมั่นคงของชาติและสิทธิชุมชนในพื้นที่แหล่งแร่

  2. ต้องประเมินผลกระทบด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพล่วงหน้า ก่อนการขยายการสำรวจหรือการแต่งแร่

  3. ควรใช้เวที MOU เป็นช่องทางต่อรองเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการเพิ่มมูลค่าในประเทศ ไม่ใช่แค่เป็นฐานการแปรรูปเบื้องต้น

  4. ต้องมีกรอบกำกับดูแลการลงทุนต่างชาติในทรัพยากรธรรมชาติอย่างรัดกุม เพื่อไม่ให้สิทธิ์ first opportunity กลายเป็นพันธะผูกพันถาวรในอนาคต

รศ.จารุประภา กล่าวสรุปว่า เราควรมอง MOU นี้ไม่ใช่แค่เอกสารความร่วมมือ แต่คือสัญญาณของการจัดระเบียบใหม่ในห่วงโซ่อุปทานโลก ไทยต้องมีกลยุทธ์รับมือที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก

จากเชียงรายถึงสาละวิน ‘เกมภูมิรัฐศาสตร์ของแร่’ กลืนแม่น้ำสุขภาพคน

“แม่น้ำกำลังจ่ายราคาให้กับเกมภูมิรัฐศาสตร์ของแร่”

เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) เรียกร้องให้ภาครัฐและนานาชาติหยุดหลับตากับผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ต้นน้ำของไทย หลังข้อมูลจากภาคประชาชนและภาพถ่ายดาวเทียมชี้ถึงการขยายตัวของเหมืองแร่ในเขตชายแดนภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

เธอย้ำว่า ตลอดเวลาที่ทำงานด้านสิทธิแม่น้ำ เห็นภาพซ้ำของ ความสูญเสียที่มองไม่เห็น แม่น้ำที่ปนเปื้อนโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั้งที่จุดเริ่มต้นของปัญหามาจากประชาชนในพื้นที่ที่สังเกตความผิดปกติและรวมตัวกันเรียกร้อง เช่น เครือข่ายสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่และภาคประชาชนจังหวัดเชียงราย

“กรมควบคุมมลพิษ โดยเฉพาะสำนักงานที่เชียงใหม่ ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำต่อเนื่องถึง 12 ครั้ง ถือว่าเชิงรุกและน่าชื่นชม แต่ผลยังพบการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง แม้ค่าบางช่วงจะลดลง”

เพียรพร ดีเทศน์

ข้อมูลดาวเทียมล่าสุดยังชี้ว่าพื้นที่ต้นน้ำกำลังถูกขยายเหมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยากจะควบคุม ทำให้เครือข่ายชุมชน และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อย่าง สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกมาเรียกร้องให้ ปิดเหมืองและฟื้นฟูทันที เพราะแม้แต่เหมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย เช่น เหมืองทองคำที่จังหวัด เลยและพิจิตร ซึ่งถือว่ามีระบบกำกับเข้มที่สุดในภูมิภาค ก็ยังทิ้งร่องรอยมลพิษและโรคภัยไว้กับชุมชน

8 เดือนผ่านไป ยังไร้แนวทางแก้ปัญหาจากภาครัฐ

เพียรพร อธิบายอีกว่า สารพิษจากเหมืองไม่ได้ฆ่าคนในทันที แต่ค่อย ๆ สะสมในร่างกาย (Bioaccumulation) จนกลายเป็น “พิษเงียบ” ที่ส่งผลต่อสุขภาพ ความพิการ และผลผลิตทางเกษตรในระยะยาว

ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา แม้จะมีการตรวจสอบและเสียงเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบันยังไม่มีแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม แม้รองนายกรัฐมนตรี 2 ท่านจะลงพื้นที่เชียงรายเพื่อรับฟังปัญหา แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าในเชิงนโยบาย

“บางคนพูดว่า ทำไมไม่จัดการให้จบ ๆ ไป เพื่อปกป้องประชาชนของตัวเอง นั่นคือเสียงสะท้อนของความสิ้นหวังจากคนที่อยู่กับปัญหามลพิษมานานโดยไม่มีคำตอบ”

เพียรพร ดีเทศน์

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ พบการปนเปื้อนในลุ่มน้ำสาละวินเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า สูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 5 เท่า โดยรายงานจากภาคประชาชนและภาพดาวเทียมยืนยันว่า เหมืองใหม่ ๆ เกิดขึ้นหนาแน่นในฝั่งเมียนมา ซึ่งเชื่อมโยงกับ เกมภูมิรัฐศาสตร์ของแร่ ที่มีแรงหนุนจากต่างชาติ

เพียรพร ตั้งคำถามว่า “จะพูดว่าเรื่องแร่ไม่เกี่ยวกับเรา คงไม่ได้อีกต่อไป” เพราะตอนนี้ผลกระทบเริ่มย้อนกลับมาสู่คนไทย ทั้งน้ำที่ใช้ดื่ม ปลาในแม่น้ำที่เป็นอาหาร และรายได้ของชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ

จากการสืบค้นของเครือข่ายฯ พบว่า การลงทุนในเหมืองจำนวนมากมีความเชื่อมโยงกับจีน บางกรณีไม่ได้ดำเนินการโดยตรง แต่ผ่านบริษัทตัวแทนหรือการร่วมลงทุนกับกองกำลังชาติพันธุ์ในเมียนมา รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายแห่งระบุว่า มีนักธุรกิจจีนอยู่เบื้องหลังการค้าแร่ แม้รัฐบาลจีนจะปฏิเสธว่าไม่มีการลงทุนโดยตรง

คำถามต่อมาคือ แร่เหล่านี้ถูกลำเลียงเข้าสู่ไทยอย่างไร ผ่านช่องทางธรรมชาติหรือด่านชายแดนที่ไม่ได้อยู่ในระบบหรือไม่ และหากใช่ ใครคือผู้กำกับดูแลและรับผิดชอบ ?

เพียรพร ยังชี้ว่า ปัญหานี้สะท้อน ช่องว่างของกฎหมาย ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งหลายประเทศอยู่ภายใต้ระบอบกึ่งเผด็จการ ทำให้การตรวจสอบและความโปร่งใสของภาครัฐทำได้จำกัด เปิดทางให้ทุนต่างชาติเข้ามาขุดแร่โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นต่างรู้ดีว่าการทำเหมืองอย่างปลอดภัยมีต้นทุนสูง จึงหลีกเลี่ยงการทำเหมืองในประเทศของตนเอง แล้วหันมาพึ่งประเทศกำลังพัฒนาที่มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมอ่อนแอกว่า ซึ่งหลายแห่งบังเอิญเป็น พื้นที่ต้นน้ำ ของไทย

เพียรพร ย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ควรปล่อยให้ประชาชนในเชียงราย หรือชุมชนริมสาละวินต้องรับภาระลำพัง เพราะนี่ไม่ใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็น ปัญหาระดับโลก ที่เกี่ยวพันกับห่วงโซ่อุปทานของพลังงานสะอาดทั่วโลก

เธอเสนอให้ทุกภาคส่วนใน Supply Chain ของแร่สำคัญ (Critical Minerals) ต้องร่วมรับผิดชอบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าแร่ที่ใช้ในการผลิตพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ มาจากกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง

“ราคาถูกไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการปล่อยให้คนงานต้องใส่รองเท้าแตะลงไปกวนสารเคมีด้วยมือเปล่า ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้วขั้นตอนเหล่านี้ต้องใช้เทคโนโลยีและมาตรการความปลอดภัยสูงสุด”

เพียรพร ดีเทศน์

เพียรพร ยังอ้างถึงแนวทางของสหประชาชาติ เช่น UN Guiding Principles on Business and Human Rights และแนวทาง Transition Minerals ที่กำหนดชัดว่า การลงทุนในภาคแร่ต้องเริ่มจากการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Due Diligence) และการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Safeguarding)

“ก่อนจะขุดแร่ใด ๆ ต้องมั่นใจว่าสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมได้รับการคุ้มครองก่อนเสมอ เพราะแม่น้ำและชุมชนของเราไม่ควรถูกใช้เป็นต้นทุนของความมั่งคั่งโลก”

เพียรพร ดีเทศน์ ฝากทิ้งท้าย

เตือนปัญหามลพิษลุ่มน้ำกก–โขง คือ ผลพวงทุนโลกพลังงานสะอาด

สืบสกุล กิจนุกร ยังได้ตั้งคำถามต่อทิศทางของประเทศไทยภายใต้ความร่วมมือด้าน แร่สำคัญ (Critical Minerals) กับสหรัฐฯ ว่า ไทยอาจกำลังเดินซ้ำรอย อาณานิคมการพัฒนา ในรูปแบบใหม่ หรือ อาณานิคมสีเขียว (Green Colony) ภายใต้กระแสการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดของทุนโลก

‘ทุนสีเขียว’ กับสมการใหม่ของอำนาจโลก

สืบสกุล อธิบายว่า ข้อตกลงด้านแร่ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีความหมายเพียงทางเศรษฐกิจหรือพลังงาน แต่สะท้อน โครงสร้างใหม่ของทุนโลก ที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า ทุนนิยมสีเขียว (Green Capitalism)

“ระบบทุนนิยมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมมานาน ตอนนี้จึงพยายามหาทางทำกำไรโดยแสดงว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อม นี่คือหัวใจของทุนสีเขียว การแก้ปัญหาของทุน ด้วยกลไกของทุนเอง”

สืบสกุล กิจนุกร 

สำหรับแนวคิด Green Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ถูกผลักดันผ่าน “กลไกตลาด” เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยมี “แร่สำคัญ” เป็นหัวใจของเทคโนโลยีใหม่ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์

MOU ไทย–สหรัฐฯ : จุดเปลี่ยนจาก ‘ทางผ่าน’ สู่ ฐานแปรรูป ?

สืบสกุล ยังตั้งข้อสังเกตถึง MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ลงนามเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2568 โดยยกข้อมูลจากเพจทางการของกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เชียงใหม่ ซึ่งระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ ประเมินศักยภาพ แปรรูป ไปจนถึงรีไซเคิล

“คำถามคือ สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเป็นเพียงทางผ่าน หรือจะให้เป็นฐานแปรรูปในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่สำคัญ ?”

สืบสกุล กิจนุกร 

เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ใช้นิยาม แร่สำคัญ กว้างกว่า แร่หายาก (Rare Earth) โดยครอบคลุมแร่อุตสาหกรรมกว่า 50 ชนิด เช่น ดีบุก สังกะสี ตะกั่ว ทังสเตน และทองแดง ซึ่งหลายชนิดมีอยู่ในประเทศไทย

“คำที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญไม่ใช่ Rare Earth แต่คือ Critical Minerals ที่ระบบเทคโนโลยีของเขาต้องพึ่งพา”

สืบสกุล กิจนุกร 

ไทยในเครือข่ายแร่จากเมียนมา จุดเชื่อมของทุนข้ามพรมแดน

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า ไทยกำลังมีบทบาทสำคัญในฐานะ ทางผ่านของแร่ จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ซึ่งมีทรัพยากรจำนวนมากและอยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลังชาติพันธุ์

ข้อมูลจากกรมศุลกากรปี 2568 ระบุว่า ไทยนำเข้าแร่จากเมียนมาผ่านด่านชายแดนกว่า 8 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท เช่น แร่พลวง แมงกานีส และทองแดง ซึ่งจำนวนมากถูกส่งต่อไปยังจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น

“แค่แร่พลวงชนิดเดียว ไทยส่งออกกว่า 40,000 ล้านบาท นี่สะท้อนว่าเราไม่ใช่ผู้บริโภค แต่เป็นจุดเชื่อมในห่วงโซ่ส่งออก”

สืบสกุล กิจนุกร 

ทั้งยังตั้งคำถามว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้จะเปลี่ยนบทบาทของไทยจากทางผ่าน ไปสู่ ฐานแปรรูป หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนชายแดน

ทุนโลกเชื่อมกับกองกำลังในเมียนมา ระเบียบใหม่ของชายแดน

สืบสกุล ยังมองว่า สงครามในเมียนมาไม่ใช่เพียงความขัดแย้งภายในประเทศ แต่เป็นกระบวนการ จัดระเบียบชายแดนใหม่ ให้สอดรับกับทุนโลกและอุตสาหกรรมแร่ยุทธศาสตร์

“พื้นที่ชายแดนไทย–เมียนมา โดยเฉพาะรัฐฉาน มีแหล่งแร่หายากจำนวนมาก อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับทุนต่างชาติ”

สืบสกุล กิจนุกร 

ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงกลายเป็น จุดยุทธศาสตร์ ในห่วงโซ่แร่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อมโยงกับนโยบายความมั่นคงด้านพลังงานของมหาอำนาจ

MOU ซีรีส์เดียวกัน ‘ออสเตรเลีย–มาเลเซีย–ไทย–ญี่ปุ่น’ คือห่วงโซ่เดียวกัน

สืบสกุล วิเคราะห์ว่า MOU ที่สหรัฐฯ ลงนามกับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเครือข่ายเชิงระบบเดียวกัน เพื่อสร้างเส้นทางแร่ยุทธศาสตร์หลีกเลี่ยงการพึ่งพาจีน

“ออสเตรเลียส่งแร่ให้มาเลเซีย มาเลเซียส่งต่อให้ไทย แล้วไทยส่งให้ญี่ปุ่น นี่คือห่วงโซ่การผลิตเดียวกันทั้งหมด”

สืบสกุล กิจนุกร 

เขายังมองว่า ไทยจึงอยู่ในบทบาท ผู้รับจ้างผลิต มากกว่าจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยี

‘อาณานิคมสีเขียว’ กับดักใหม่ของการพัฒนาไทย

สืบสกุล ยังตั้งข้อสังเกตว่า ไทยยังติดอยู่ในกรอบคิดแบบ อาณานิคมการพัฒนา ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยหวังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี

“หลายสิบปีผ่านไป เรายังไม่มีรถยนต์ยี่ห้อไทยเป็นของตัวเอง แต่ยังเชื่อในมายาคติการถ่ายทอดเทคโนโลยี”

สืบสกุล กิจนุกร 

พร้อมเตือนว่า โลกพลังงานสะอาดอาจนำไทยเข้าสู่วงจรเดิมในชื่อใหม่ อาณานิคมสีเขียว ประเทศที่ผลิตเพื่อโลกสะอาด แต่ตัวเองต้องรับผลกระทบจากมลพิษและการทำเหมือง

มลพิษข้ามพรมแดน น้ำ–ข้าว–ปลา–ผัก ปนเปื้อนโลหะหนัก

สืบสกุล ยังเปิดเผยว่า การทำเหมืองฝั่งเมียนมาส่งผลให้เกิดมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในแม่น้ำกก สาย ลวก และโขง ซึ่งปนเปื้อนสารหนู แคดเมียม และตะกั่ว

“ข้าวกว่า 130,000 ไร่ จากเกษตรกร 14,000 ครอบครัว ปลูกด้วยน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก แต่รัฐกลับบอกว่า ไม่เกินมาตรฐาน น้ำประปาในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะแม่สาย มีโลหะหนักปนเปื้อนทุกเดือน กระทบประชาชนกว่า 120,000 คน รัฐกำลังทำให้การบริโภคโลหะหนักกลายเป็นเรื่องปกติ”

สืบสกุล กิจนุกร 

จากปัญหาท้องถิ่น สู่โครงสร้างโลก

สืบสกุล ยังชี้ว่า การแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนไม่อาจทำได้ด้วยกลไกทวิภาคี เพราะมีผู้กระทำการที่ไม่ใช่รัฐ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธและทุนข้ามชาติที่เข้าไปทำเหมืองในพื้นที่ความขัดแย้ง

“การไม่พูดเรื่องนี้ ก็คือการปล่อยให้โครงสร้างอาณานิคมการพัฒนาเดินหน้าต่อไป”

สืบสกุล กิจนุกร 

เสนอให้เป็นวาระนโยบายระดับชาติ

สืบสกุล ยังเรียกร้องถึงรัฐบาลและพรรคการเมือง ต้องหยิบยกปัญหามลพิษข้ามพรมแดน และ MOU แร่ยุทธศาสตร์ ขึ้นเป็นวาระนโยบายระดับชาติ และควรเป็นข้อเสนอของพรรคการเมืองสำหรับการแก้ไขปัญหาสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย

“ถ้าพรรคการเมืองไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพันธสัญญาเชิงนโยบาย ปัญหานี้ก็จะถูกปล่อยให้วนซ้ำ ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และอธิปไตยทางทรัพยากรของประเทศ”

สืบสกุล กิจนุกร 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active