สว. ยัน กม.อากาศสะอาด ไม่ล่ม “กองทุนอากาศสะอาด” ยังอยู่


กมธ.ภาคประชาชน จับตา เครื่องมือจัดการผู้ก่อมลพิษ ย้ำ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ไม่ซ้ำซ้อน แต่อุดช่องโหว่กฎหมายเดิม เพิ่มสิทธิประชาชนรู้ ร่วมตัดสินใจ ด้าน สว. ชี้ รับบทหนัก แต่มั่นใจพิจารณาทันก่อนยุบสภาฯ กองทุนอากาศสะอาดยังอยู่ แต่อาจมีปรับรายละเอียด

วันนี้ (14 พ.ย. 2568) ที่อาคารสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภารัฐสภาฯ จัด เวทีสาธารณะ “ร่วมคิด ร่วมสร้าง อากาศสะอาด คืนลมหายใจบริสุทธิ์ให้ประชาชน”  โดยมี กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) ร่วมเวทีเสวนา เพื่อตอกย้ำบทบาทฝ่ายนิติบัญญัติ ภาคประชาชน มุ่งขับเคลื่อนสังคมไทยไร้มลพิษ

ฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2

ฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 กล่าวว่า ไทยเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม การจราจร การเผาในที่โล่ง มลพิษข้ามพรมแดน นอกจากส่งผลต่อสุขภาพ ยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศ เมื่อกลไกและกฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเพียงพอจึงมีการขับเคลื่อนให้มี “กฎหมายอากาศสะอาด” เป็นหมุดหมายสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ

ฉลาด เผยว่า ก่อนหน้านี้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านเข้าสภาฯ รวม 7 ฉบับ มีการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ โดยใช้ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับของ ครม. เป็นหลัก ปรากฏว่าจากเดิมมี 102 มาตรา แต่ กมธ. มีการตัดออก แก้ไข และเพิ่มขึ้นใหม่ เป็นร่างกฎหมายที่มีจำนวนถึง 300 มาตรา ใช้เวลาในการพิจารณารายมาตราในวาระที่ 2 จำนวน 7 ครั้ง โหวตทั้งหมด 300 กว่าครั้ง และผ่านการพิจารณาวาระที่ 3 ในวันที่ 21 ต.ค. 2568 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งการเปิดเวทีเสวนา ก็เพื่อสร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผ่านกลไกของฝ่ายนิติบัญญัติ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีกฎหมายอากาศสะอาดใช้อย่างเป็นรูปธรรม

สังคมตั้งคำถาม สว.เตะถ่วง หรือไม่  ?

สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม กมธ. วิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภา กล่าวว่า ในการพิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ มีเวลาที่จำกัด ด้วยความที่เป็นกฎหมายทางการเงินมีกองทุนอากาศสะอาด ทำให้มีกรอบการพิจารณา 30 วัน โดยวุฒิสภาขยายได้ 1 ครั้ง จึงมีมติต่อเวลาไปอีก  30 วัน ซึ่งในช่วงสมัยปิดประชุมสภาฯ ไม่ถูกนับรวม ทำให้มีเวลาทดไว้ที่จะพิจารณา โดยเชื่อมั่นว่า “กฎหมายนี้จะพิจารณาเสร็จสิ้นทันก่อนที่จะยุบสภาฯ”

“เพราะเข้าใจว่าในการพูดคุยส่วนใหญ่ในชั้นวุฒิสภา จะมีการแก้ไขไม่กี่มาตรา และในมาตราที่สำคัญมีการซักถาม กรรมาธิการฝั่งประชาชน ที่มาร่วมเป็นกรรมาธิการใน วุฒิสภาด้วย มีความมั่นใจว่าถ้าวุฒิสภา แก้ไขก็จะไม่เกิน 4-5 มาตรา จะโหวตแค่มาตราที่มีการแก้ไขเท่านั้น ส่วนมาตราที่ไม่ได้มีการแก้ไขก็จะไม่มีการโหวตเหมือนกับในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการแก้ไข จากเดิม 103 มาตรามาเป็น 274 มาตรา ทำให้สภาผู้แทนราษฎรทำงานหนักและต้องโหวต แทบทุกมาตราที่มีการแก้ไข แต่เมื่อมาถึงชั้นวุฒิสภาหากมีการแก้ไขน้อยมาตรา เราก็จะไม่ต้องโหวตทุกมาตรา”
สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม

บทบาทที่วุฒิสภารับขณะนี้ คือ การรับบทมาจากสภาผู้แทนราษฎร หลังจากอภิปรายเสร็จก็บอกว่าไม่มีเวลา ในการที่จะกลั่นกรอง ยกให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในการกลั่นกรอง ว่ามาตราไหนจะเอาอย่างไร บทหนักเลยกลายเป็นมาอยู่ที่วุฒิสภาในขณะนี้” 
สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม

สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม กมธ. วิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภา

พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซ้ำซ้อน จริงหรือ ?

กฤช ศิลปชัย โฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหามลพิษทางอากาศ มีกฎหมายหลายฉบับที่จะเข้ามาจัดการ ซึ่งในชั้น กมธ. ส.ส. เคยมีการหารือกันว่า หากใช้กฎหมายเดิมแก้ปัญหาก่อนที่จะมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ หากมีความจริงจังในการบังคับใช้ ปัญหามลพิษทางอากาศก็จะเบาลงได้ ยืนยันว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ไม่ได้มีความซ้ำซ้อน แต่จะมีความก้าวหน้า ละเอียด เฉพาะทาง และสามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้ 

กฤช ยกตัวอย่าง จ.ระยอง หลายครั้งที่โรงงานปิโตรเคมี ปล่อยมลพิษทางอากาศ หลายครั้งที่ระบบการผลิตขัดข้องเขาจะปล่อยควันสีดำออกมา กฎหมายเดิมก็มีกำกับ เช่น  พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องระยะเวลาการปล่อยควัน แต่กลับไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เชื่อว่า การมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะเข้าไปสนับสนุนส่งเสริมการแก้ปัญหาได้ เพราะมีบทลงโทษทางอาญาที่สมเหตุสมผลต่อผลกระทบที่ประชาชนได้รับ

กฤช ศิลปชัย โฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด สภาผู้แทนราษฎร

“ผมคิดว่าไม่ซ้ำซ้อน แต่ยังช่วยเสริมให้เรามีอากาศสะอาด ได้เป็นอย่างดี  และการบังคับใช้กฎหมาย มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
กฤช ศิลปชัย 

“ถ้าพูดตรง ๆ ยกตัวอย่างโรงงาน คิดว่าการบังคับใช้ กฎหมายจะเป็นไปได้อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ ถ้า ในสำนักงานของหน่วยงานที่เป็นผู้ทำหน้าที่กำกับ การสนับสนุนดูแลโรงงานอุตสาหกรรม เต็มไปด้วยการสนับสนุนเครื่องปรับอากาศ วิทยุ โทรทัศน์ กล้องวงจรปิด จากแหล่งก่อกำเนิดเหล่านี้ ผมพูดแค่นี้ก็ชัดเจนครับว่า เวลาที่จะบังคับใช้กฎหมายจริง ๆ มันติดลูกเกรงใจกัน พอถึงเวลาที่ต้องบังคับใช้อย่างเข้มข้น เมื่อทำผิดก็ไม่ได้กล้าบังคับใช้อย่างตรงไปตรงมา และถามว่าน้ำหนักของการป้องกัน ลงโทษ กฎหมายเดิมที่มีอยู่ก็ไม่ได้สัดได้ส่วน กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชน”
กฤช ศิลปชัย 

ขณะที่ รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด คนที่ 4 วุฒิสภา กล่าวว่า ปัญหาการทำงานในโครงสร้างเดิม โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย เป็นการปล่อยเกียร์ว่าง ซึ่งพบว่า หน่วยงานที่มีกฎหมายกำหนดให้ทำ แต่ไม่ทำ เรียกว่า “ยิ่งกว่าเกียร์ว่าง” 

“นี่เป็นระบบอะไรบางอย่างของแผงวงจรเดิม เป็นสิ่งที่เรากำลังนั่งทับระเบิดเวลา มาเป็นเวลานานจนทำให้กลายเป็นความเคยชิน หรือยอมจำนน ทั้งที่เราอยู่บนความเสี่ยงร่วมกัน”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

“เวลานี้ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเชิงระบบ โครงสร้างเดิมที่ซับซ้อน ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นและไม่เคยได้รับการสังคายนาอย่างจริงจัง เรานั่งทับปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหานี้สร้างภาพลวงตา ให้ทั้งคนที่ไม่รู้ และคนที่เห็นช่องว่าไปทำมาหากิน จึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เรื่องนี้ใหญ่หลวงกว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ 1 ฉบับ”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

รศ.คนึงนิจ ชี้ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่กฎหมายอากาศสะอาดฯ จะถูกมองว่ามีความสลับซับซ้อนเนื่องจากว่าปัญหาซับซ้อน และการจะแก้ปัญหาไม่สามารถใช้เครื่องมือง่าย ๆ ภูเขาน้ำแข็ง ไม่สามารถนำไขควงอันเล็กไปงัดได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่สังคมอาจจะยังรู้และไม่รู้ นำมาสู่การสื่อสารที่ผิดพลาด ทั้งแบบที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

“นี่คือสิ่งที่เราบอกว่า เวลาคนมองมาที่ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ แล้วคนบ่นว่าเยอะ เวอร์ มีหลายมาตรา ใช้เวลานาน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น นี่ คือภาพสะท้อนที่เรากำลังนั่งทับระเบิดเวลา เราต้องการเรียกสถานการณ์เหล่านี้ว่า กระบวนการเรียนรู้ (Learning process) ของคนทั้งสังคมร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะคนที่ที่อยู่ในสภา”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

รศ.คนึงนิจ บอกอีกว่า กฎหมายที่ริเริ่มโดยประชาชน มาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เปรียบเสมือน จากมังกรคาบแก้วมีเกล็ด แต่อาจจะกำลัง ค่อย ๆ ถูกเด็ดออกไปเรื่อย ๆ และเมื่อออกมาจากสภาฯ จะเหลือเพียงหนอนดินหรือไม่ ? ดังนั้นเราจะปล่อยให้กระบวนการนิติบัญญัติทำแบบนั้นหรือ เพราะปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีส่วนร่วมในการเสนอร่างกฎหมาย 

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภา

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภา กล่าวถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากกฎหมายอากาศสะอาดประกาศใช้ ในมุมของข้าราชการที่ต้องทำตามนโยบายซึ่งนโยบายของมีพื้นฐานอยู่บนกฎหมาย ตัวอย่างที่มีปัญหามานาน อย่างการแจ้งเตือนกลุ่มเปราะบาง ได้รับการคุ้มครองมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะจะเป็นกลุ่มที่มีอาการกำเริบขึ้นมา เมื่อมลพิษทางอากาศสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย สิ่งที่จะเปลี่ยนไปหลังจากมีกฎหมายนี้ คือ การมุ่งเน้นเรื่องสิทธิที่จะรู้ ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ในพื้นที่นั้นมีแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอยู่ตรงไหนบ้าง โรงงานที่อยู่ใกล้ ๆ ปล่อยสารมลพิษอะไรบ้าง และในอนาคตข้างหน้าสถานที่ตรงนี้กำลังจะมีโครงการอะไร ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ ที่จะร่วมตัดสินใจ ซึ่งนอกจากรู้และต้องเข้าใจด้วย ซึ่งกฎหมายจะมากำหนดหลักการพื้นฐานที่ทุกหน่วยงานต้องเคารพ

“อีกประเด็นที่สำคัญคือการเชื่อมโยงบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานในแต่ละพื้นที่ ทั้งข้อมูลเรื่องสุขภาพ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ ข้อมูลสถานการณ์ เพื่อนำไปแจ้งเตือนประชาชน ร่วมกันปกป้องกลุ่มที่เปราะบางได้อย่างไร”
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท 

สว. ชี้ รับภาระหนัก กลั่นกรองกฎหมาย

สรชาติ ย้ำว่า ภาระหนักของวุฒิสภาที่รับภาระมาจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่มีเวลาพิจารณากลั่นกรอง จะเห็นว่าสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลากดโหวตอย่างเดียว ยังกินเวลาประชุมหลายวัน ดังนั้นวุฒิสภาก็จะถือว่ารับบทหนัก แต่มั่นใจว่า กฎหมายฉบับนี้จะไม่กลายเป็นหนอนดิน แต่จะเป็นมังกรซึ่งอาจจะตัดสัดส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใช้งานจริง สิ่งที่เป็นห่วงสำหรับกฎหมายฉบับนี้ คือ เป็นเหมือนกฎหมายกลาง ซึ่งก่อนหน้านี้มีกฎหมายหลายฉบับ แต่กฎหมายอากาศสะอาดก็อยู่ในระดับ “พระราชบัญญัติ” เช่นเดียวกับกฎหมายที่มีก่อนหน้านี้ และมีคำถามว่ากฎหมายมีระดับเดียวกันจะสามารถบังคับใช้ได้หรือไม่ แต่ก็โชคดีที่มีมาตรา 3 ซึ่งหากมีกฎหมายใดที่ขัดแย้งกับกฎหมายนี้ให้ใช้มาตรา 3 

“จะมีการแก้ไขไม่น่าเกิน 10 มาตรา และจะโหวตเฉพาะมาตราที่มีการแก้ไขเท่านั้นส่วนมาตราที่ไม่ได้มีการแก้ไข ก็ผ่านไปเลย ผมมั่นใจว่าใน วุฒิสภาใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 6 ชั่วโมง”
สรชาติ ย้ำ

รศ.คนึงนิจ แสดงข้อกังวลว่า การเพิ่มบางอย่างเข้ามาในกฎหมายอาจกลายเป็นเนื้อร้ายอาจไม่ดีเสมอไป และในกรรมาธิการ สว. สัดส่วนของคณะกรรมาธิการมีสัดส่วนจาก สว.15 คน ภาคประชาชน 9 คน จากคณะรัฐมนตรี 3 คน โหวตอย่างไรก็ไม่ชนะ เป็นไปได้อยากให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมกับ กรรมาธิการ สว. จะเป็นการดีเพื่อให้ประชาชนได้เห็น และการที่มักมีคนออกมาให้ข้อมูล และสร้างวาทกรรมว่ากฎหมายอากาศสะอาด “ซ้ำซ้อน” ยืนยันว่าไม่ซ้ำซ้อน และกฎหมายใหม่สามารถยกเลิกกฎหมายเก่าได้ ซึ่งเป็นกฏหมายเบื้องต้น โดยมีมาตราที่เขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน และขอให้หยุดการสร้างวาทะกรรมว่ากฎหมายอากาศสะอาดมีความซ้ำซ้อน และการที่มีมาตราหลายมาตราไม่ได้แปลว่าไม่ดี รวมถึงการที่พิจารณาแล้วมีหลายมาตรา เนื่องจากเป็นการหลอมหลวมกฎหมายจากหลายร่าง โดยใช้ร่างของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างของคณะรัฐมนตรีจะศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถแก้ไขได้ 

ถึงเวลา “ผู้ก่อ” ยกระดับ-รับผิดชอบ 

รศ.คนึงนิจ ยังกล่าวถึงกรณีภาคเอกชนออกมาเคลื่อนไหวว่า ประเด็นกฎหมายอากาศสะอาดประชาชน ขับเคลื่อนมานาน และขออย่าตีความให้เจตนารมณ์กฎหมายผิดหรือบิดเบือน สร้างความเสียหายแก่สังคม และย้ำหลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP)  คือ การที่ผู้กระทำผิดต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นไปตามหลักความยุติธรรมสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้หากมีการขอลดหย่อนหรือปล่อยผ่าน ที่สำคัญต้องไม่นำเรื่องนี้ไปโยงกับประเด็นการมีมาตรการจูงใจทางเศรษฐศาสตร์สำหรับผู้ที่ปฏิบัติถูกต้อง เพราะเป็นคนละเรื่องกันและจะกลายเป็นการ “ฟอกเขียว” 

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด คนที่ 4 วุฒิสภา

รศ.คนึงนิจ อธิบายว่า ในกฎหมายมีมาตรการ 2 อย่างควบคู่กัน แต่ต้องใช้แบบไม่นำมาปนกัน คือ carrot and stick หมายถึง มาตรการแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ที่ให้แก่ผู้ที่ทำดีอยากให้อากาศสะอาด ซึ่งจะมีมาตรการช่วยเหลือเป็นการให้รางวัลในการเปลี่ยนผ่านการผลิตไปสู่อากาศสะอาด ส่วนบทลงโทษ คือ หากมีการปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน ทำผิดกฎหมายต้องรับผิดทางแพ่งและอาญาและปรับทางพินัย 

“สองมาตรการนี้มาคู่กัน ใช้ประกอบเข้าด้วยกัน แต่ไม่ได้ให้เอามาปนกัน ตอนนี้มีความพยายามจะเอามามั่วกัน คือใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด แต่การมั่วคือพยายามเอามาตรการจูงใจ มาบอกว่าดังนั้นฉันไม่ต้องรับผิด”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

ด้าน กฤช ยกตัวอย่างว่า โรงงานเมื่อมีอายุมากมักจะเกิดปัญหาการปล่อยมลพิษจากระบบการรักษาเครื่องจักร แต่ผลกระทบไปเกิดอยู่ที่ประชาชน ที่สำคัญมลพิษทางอากาศไม่ได้อยู่กับที่แต่ลอยไปทั่ว อย่างพื้นที่จังหวัดระยอง พบผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจจำนวนมาก ซึ่งมาจากสิ่งเหล่านี้ และยังไม่มีใครหาคำตอบ แม้แต่ข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษที่มีจุดตรวจวัดอากาศรอบบริเวณโรงงานอุตสาหกรรม ก็พบว่าตัวเลขสูงเกินค่ามาตรฐานทุกปี แต่ก็ไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นของเขา ดังนั้นจึงมองว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

พร้อมย้ำถึงความสำคัญ ของบทบาท ประธานคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ว่า ท้องถิ่นอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง ที่มีความรับผิดรับผิดชอบ มีกฎหมายกำหนดให้ทำงาน และหากไม่ทำ มีประชาชนคอยลงโทษผ่านการเข้าคูหา ขณะที่ข้าราชการไม่ทำตามกฎหมายประชาชนจะไปลงโทษก็ไม่ได้ ซึ่งมีการถกเถียงกันเรื่องนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่นั่งเป็นประธานคณะกรรมการอากาศจังหวัด ที่ตั้งคำถามว่าจะนำอำนาจไหนไปสั่งการข้าราชการ แต่เชื่อว่าหากกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจไว้ก็เป็นไปได้ เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถจัดการปัญหานี้ได้

สว. ยัน ไม่ตัด กองทุน แต่อาจปรับแก้

สรชาติ กล่าวว่า ตอนนี้กฎหมายอากาศสะอาดยังไม่มีใช้ มีแต่กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายโรงงาน นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ มองว่า มังกรที่เราสร้างไว้เป็นมังกรคาบแก้วที่ดีแล้ว เชื่อว่าวุฒิสภามีวุฒิภาวะ แม้จะมีคนแสดงความเห็นมา เนื่องจากเขาอาจได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม SMEs ซึ่งแน่นอนว่า กฎหมายมีผู้ได้ประโยชน์เสียประโยชน์อย่างแน่นอน ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้ กลุ่มที่เคยได้ประโยชน์ก็จะต้องเสียประโยชน์ ส่วนตัวมีหน้าที่ในการออกกฎหมายใหม่ให้ดีที่สุด เพราะ ส.ส. สว. คือตัวแทนประชาชน 

“สิ่งที่จะออกไปจากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จะเป็นกลาง และเป็นกฎหมายที่ดีที่สุด อยากเห็นกฎหมายไปถูกบังคับใช้ก่อน หากมีข้อบกพร่องตรงไหนเรายังมีเวลานำกลับมาแก้ไขเป็นรายมาตราเพิ่มเติม หากไม่ประนีประนอมกันตรงนี้ก็จะทำให้กฎหมายตกไปทำให้เราไม่มีกฎหมายใช้ ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อขยายเวลาเป็น 60 วัน จะใช้เวลาเวลานานถึง 60 วัน เราสามารถพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุมสภาได้ เป็นการเผื่อเวลาไว้เท่านั้น” สรชาติ กล่าว

รศ.คนึงนิจ มองว่า การออกกฎหมายไปก่อนแล้วค่อยมาแก้อาจจะทำได้ยาก โดยเฉพาะหากมีความสูญเสียเกิดขึ้นกับประชาชน จะไปฟ้องร้องก็ยิ่งยาก อยากขอให้สมาชิกวุฒิสภาเห็นแก่ประชาชน 

อย่างไรก็ตาม สรชาติ ย้ำตอนท้ายว่า กองทุนอากาศสะอาดไม่ได้เอาออกแต่จะปรับเพียงเล็กน้อย จึงไม่อยากให้เกิดความกังวลมาก และข้อสังเกตนำมาจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลักเนื่องจากว่าไม่มีเวลา ในการนั่งปรับและแก้ไขในวาระ 2 3 หลายคนสงวนความเห็นเอาไว้ ได้เสนอขึ้นมาเป็นข้อสังเกต ในฐานะสภากลั่นกรองก็ทำหน้าที่ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active