ครั้งแรก! ‘ศูนย์สื่อสารแก้ฝุ่นพิษ’ เตือนผ่าน 3 ระบบ ช่วยประชาชนรับมือ PM2.5

รัฐ-เอกชน บูรณาการเปิด ‘ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ’ เตือนสถานการณ์ฝุ่น ผ่าน Cell Broadcast – ไลน์ – SMS Alert หวัง ประชาชนเข้าถึงข้อมูล เฝ้าระวัง รับรู้สถานการณ์ PM2.5 ย้ำ ปัจจุบัน คพ.พัฒนาแบบจำลองคาดการณ์คุณภาพอากาศ ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 68 กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิด ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) เพื่อแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ผ่านระบบ Cell Broadcast ระบบ Line Alert และช่องทาง SMS ให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพครอบคลุมทุกพื้นที่

สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ซึ่งเกิดมวลอากาศมาปกคลุม ทำให้อากาศถ่ายเทได้ลำบาก แนวโน้มของฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ปัญหามลพิษไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่ลมจะหวนพัดฝุ่นจากข้างเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน 

การเปิดศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ) จะเป็นศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสารสถานการณ์ฝุ่นเพียงศูนย์เดียวของประเทศ เพื่อสื่อสารไปยังหน่วยงานต่างที่เกี่ยวข้องให้เตรียมรับมือ ทั้งในพื้นที่ทำการเกษตร และพื้นที่ป่า พื้นที่เมือง และโรงงานอุตสาหกรรม เตรียมเฝ้าระวังและป้องกัน

สุชาติ ยังชี้ว่า ศูนย์สื่อสารฯ นี้ได้บูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกอบด้วย กรมอุตุนิยมวิทยา, GISTDA, กระทรวงมหาดไทย, กรุงเทพมหานคร, บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) พร้อมบูรณาการข้อมูลที่สำคัญในการใช้เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ PM2.5 ซึ่งปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษได้พัฒนาแบบจำลองคาดการณ์คุณภาพอากาศ ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน

พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองเป็นประจำทุกวันผ่านช่องทางสื่อโซเชียลของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเตรียมพร้อมและวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม โดยในปีนี้ประเทศไทยได้ยกระดับระบบแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองที่สำคัญ โดยมี 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

  1. ระบบ Cell Broadcast ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

  2. ระบบ Line Alert ผ่านแอปพลิเคชัน LINE

  3. ระบบ SMS Alert โดยความร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)

“กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญชวนประชาชนติดตามข้อมูลสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 และแนวโน้มล่วงหน้า รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตน ผ่านช่องทางการแจ้งเตือนที่กำหนด พร้อมขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชน ครอบครัว และคนที่รัก ทั้งนี้รัฐบาลตระหนักถึงสถานการณ์ ฝุ่น PM2.5 ที่มักเพิ่มสูงเกินค่ามาตรฐานในช่วงฤดูหนาว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน จึงมอบหมายให้ ศกพ. ทำหน้าที่ในการ สื่อสารและแจ้งเตือนสถานการณ์คุณภาพอากาศที่ถูกต้องและทันเวลา ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มวัย”

สุชาติ ชมกลิ่น

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้ให้เห็นว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ในวันที่ค่าฝุ่นสูง แต่พบว่าฝุ่นลดลง ถึงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หัวใจสำคัญในการเปิดศูนย์สื่อสารฯ จะมี 3 หน้าที่คือ 

  1. ช่วยบอกประชาชนว่าปัจจุบันนี้สถานการณ์ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

  2. พยากรณ์ในอนาคต 7 วัน

  3. ระบุปัญหาได้ว่าเผาตรงไหนเยอะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปดูแลตรงไหน เช่น เผาป่า เผาอ้อย เผาฟางข้าวตรงไหน

ชัชชาติ ยังกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ปีนี้ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่สภาพอากาศ สำหรับพื้นที่ กทม. มี 3 ส่วน คือ

  1. สภาพอากาศที่ปิด

  2. ฝุ่นจากรถยนต์

  3. ฝุ่นจากการเผานอกพื้นที่

ในส่วนของรถยนต์ปีนี้คาดว่าจะดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับมาตรฐานควันดําขึ้น ส่วนเรื่องการเผานอกพื้นที่จะต้องดูสถานการณ์ของเกษตรกร

10 มาตราการแก้ฝุ่น กทม. ปี 69

นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้ร่วมประชุม กับ โสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์และมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ปี 2569 รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ รายงานถึงประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดให้ท้องที่เขตกรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 ก.ย.68 เนื่องจากช่วงเวลา เดือน พ.ย. -มี.ค. ของทุกปี กรุงเทพมหานครประสบปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน กทม.จึงดำเนินการควบคุม ลด และขจัดฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่ให้หมดไปเพื่อยกเลิกประกาศดังกล่าว ด้วยการยกระดับ 10 มาตรการ ประกอบด้วย

  1. เขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone : LEZ) ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ 50 เขต และการลงทะเบียน Green List

  2. โครงการ Green List Plus ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ เพื่อลดฝุ่นและลงทะเบียน Green List Plus เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตั้งเป้าหมาย 500,000 คัน

  3. เพิ่มความเข้มข้นมาตรฐานการจัดการรถยนต์ควันดำจากเดิมห้ามเกิน 30% เป็น ค่าควันดำห้ามเกิน 20% เริ่ม 1 พ.ย.68 เฉลี่ยเรียกตรวจ 10,000 คัน จับเพิ่มได้ 3.6 เท่า เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานควันดำที่ 30% ในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา

  4. ตรวจรถภายในไซต์ก่อสร้าง/สถานประกอบการ โดยการตรวจสุขลักษณะ ตรวจควันดำในไซต์ โดยสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝุ่น รวมถึงให้รถ 6 ล้อขึ้นไปลงทะเบียน Green List

  5. การจัดการมลพิษในโรงงานและสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้าทุกแห่ง (รวม 256 โรงงาน) ตามมาตรฐาน TSP เข้มข้นขึ้น 78%,  SO2 เข้มข้นขึ้น 87%  NOx เข้มข้นขึ้น 60% พร้อมให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย ตั้งแต่บัดนี้ – 21 พ.ย. 68

  6. ประสานงาน/สนับสนุนจังหวัดข้างเคียง ในการทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อสนับสนุนการลดการเผาชีวมวล

  7. จัดทำห้องปลอดฝุ่น แล้วเสร็จในปี 68 ในโรงเรียน 971 ห้อง (49%) และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 115 แห่ง (44%) ตั้งเป้าหมาย 100% โรงเรียน 1,966 ห้อง + ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 262 แห่ง

  8. Work From Home: WFH ในปี 68 ตั้งเป้าหมาย 200,000 คน (ได้ 103,781 คน) เป้าหมายสูงสุด 300,000 คน

  9. การมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยระบบแจ้งเตือนผ่าน Social Media และ Line Alert พร้อมเพิ่มช่องทาง Cell Broadcast และ ระบบพยากรณ์คาดการณ์ล่วงหน้าฝุ่นได้จากเดิม 3 วัน เพิ่มเป็น 7 วัน

  10. เพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการปลูกต้นไม้ล้านต้น (2.2 ล้านต้น) + สวน 15 นาที (441 แห่ง) โดยเพิ่มเป้าหมายเป็น 3 ล้านต้น + กรุงเทพฯ ตะวันออกเป็นกำแพงกันฝุ่น(1 ล้านต้น) + สวน 15 นาที ครบ 500 แห่ง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ระดับพื้นที่ การลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ โดยกระทรวงสาธารณสุข และกรมประชาสัมพันธ์ โดยรองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและข้อสั่งการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 ปี 2569 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active