เปิดเกมใหญ่สู้ฤดูฝุ่น ป้องสุขภาพคนเมือง จัดการฝุ่นอุตสาหกรรม

กทม. งัด 10 มาตรการคุม PM2.5 ทั้งรถ-โรงงาน-พื้นที่เสี่ยง นักวิชาการ ชี้ ทางรอดต้องเร่งยกระดับยานยนต์สะอาด คุมจราจร ฝากความหวังเวทีระดับชาติ Thailand National PM2.5 Forum #2 ปูทางนโยบาย เชื่อมข้อมูล ดันอากาศสะอาดยั่งยืน

ในเวทีเสวนา “ฝุ่นเมือง ฝุ่นอุตสาหกรรม เรื่องใหญ่” วรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ย้ำถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการทำงานร่วมกับข้อมูลของจิสด้า นำข้อมูลมาประมวลว่าฝุ่นมาจากไหน มาช่วงเวลาใด พบว่ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ สภาพอากาศปิด, การเผาไหม้เครื่องยนต์ และ การเผาชีวมวล จากการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน นำมาสู่การเสนอ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศให้ กทม.เป็นเขตควบคุมมพิษ และนำมาสู่การออก 10 มาตราการ ได้แก่ 

  1. โครงการ Green List Plus รถคันนี้ ลดฝุ่น มีเป้าหมายให้หลุดเข้าร่วมลงทะเบียน 500,000 คัน ในช่วงวันที่ 1 พ.ย.2568 ถึง 31 ม.ค.2569 โดยส่งเสริมให้ประชาชนบำรุงรักษาเครื่องยนต์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องไส้กรองอากาศ ร่วมกับภาคเอกชนจัดโปรโมชันบำรุงรักษารถยนต์ โดยในปีที่ผ่านมาพบว่ามีรถเข้าร่วมโครงการ 348,387 คัน คาดว่าจะช่วยลดมลพิษจากภาคขนส่งได้ถึง 17%

  2. ยกระดับเขตมลพิษต่ำ (LEZ) ห้ามรถหกล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร  ยกเว้นรถที่ลงทะเบียน  Green list โดยขยายพื้นที่จากวงแหวนรัชดาภิเษก  สู่พื้นที่ กทม. ทั้ง 50 เขต 

  3. ยกระดับมาตรฐานการจัดการรถยนต์ควันดำ โดยกำหนดค่าควันดำของรถยนต์ดีเซลให้เข้มข้นขึ้นจากเดิมที่ห้ามเกิน 30% เป็นห้ามเกิน 20% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา รวมถึงการสั่งห้ามใช้งานรถยนต์ที่มีมีค่าควันดำเกินมาตรฐานพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวงให้เป็นการออกคำสั่ง “ห้ามใช้เด็ดขาด” หรือลดระยะเวลาปรับปรุงแก้ไข เนื่องจากปัจจุบันให้เวลานานถึง 30 วัน

  4. การตรวจรถภายในไซต์ก่อสร้าง สถานประกอบการ ในพื้นที่โครงการที่ได้รับอนุญาต EIA จำนวน 147 แห่ง โดยกำหนดให้รถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปทุกคันต้องบำรุงรักษาและลงทะเบียนรถบัญชีสีเขียว และรถทุกคันที่ใช้งานต้องมีค่าควันดำไม่เกินมาตรฐานร้อยละ 20 และมีการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง

  5. ยกระดับมาตรฐานจัดการมลพิษในโรงงาน โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมยกร่างประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการควบคุมระบายมลพิษ โดยให้โรงงานที่มีหม้อน้ำติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่ปล่อยออกจากปล่องอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) (จากเดิม 8 แห่งเพิ่มเป็น 256 แห่ง) และเพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานมลพิษจากปล่องหม้อน้ำ (NOx SO2 และ TSB)

  6. การประสานงานและสนับสนุนจังหวัดข้างเคียง โดยการสนับสนุนลดการเผาชีวมวลในจุดเสี่ยง ส่งเสริมให้เกษตรกรบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทดแทนการเผา

  7. การมีส่วนร่วมประชาชน มีระบบการแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast ระบบพยากรณ์คาดการณ์ล่วงหน้า 7 วัน ระบบการร้องเรียน ผ่าน Traffy Fondue เมื่อพบเห็นแหล่งเกิดมลพิษ

  8. การจัดทำห้องเรียนปลอดฝุ่น โรงเรียนสังกัด กทม. 2,119 ห้องเรียน ดำเนินการไปแล้ว 1,075 ห้องเรียน (51%) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 262 แห่ง ดำเนินการแล้ว 115 แห่ง (44%) สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวัน 12 แห่ง

  9. มาตรการ WFH โดยประกาศขอความร่วมมือเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งวันในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 2569 ในวันที่ค่าฝุ่นมากกว่า 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 35-ขึ้นไปต่อเนื่อง 2 วัน 

  10. การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งการปลูกต้นไม้ สร้างสวน 15 นาที  จัดทำกำแพงกันฝุ่น Bangkok green wall 

เสนอ 4 เรื่องแก้ฝุ่นเมือง
ชี้เป้าหมายยกระดับยานยนต์อีกยาวไกล

สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ ระบุว่า สิ่งที่จะต้องทำ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นในพื้นที่ กทม. อยู่ด้วยกัน 4 เรื่อง  โดย 3 เรื่องแรกจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลาง หน่วยงานระดับกรมที่จะต้องดำเนินการ รวมถึงเรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องรับผิดชอบเอง 

เรื่องแรก คือ มาตรฐานน้ำมัน กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งมองว่ากระทรวงพลังงานทำได้ดี จากการพยายามปรับปรุงคุณภาพน้ำมันมาโดยตลอด จนทุกวันนี้มาตรฐานน้ำมันเทียบเท่ากับสากล 

เรื่องต่อมาคือ คุณภาพของรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากมาตรฐานยูโร 4 สู่ ยูโร 5 และยูโร 6 ซึ่งมาตรฐานยูโร 5 และ ยูโร 6 มีมติคณะรัฐมนตรี ออกมาตั้งแต่ปี 2563 ที่จะบังคับใช้มาตรฐาน ยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ในไทย แต่ได้มีการเสนอเลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้ ทำให้ยูโร 5 เพิ่งจะบังคับใช้ไม่นานมานี้ ส่วนยูโร 6 สำหรับรถบรรทุกขยับไปปี 2575 ซึ่งถือว่ายาวไกลมาก

“ตรงนี้ต้องฝากไว้ว่า ให้ติดตามว่าอย่าให้มีการเลื่อนออกไปอีก เพราะกว่ารถรุ่นใหม่ จะเข้ามาทดแทนรถเก่า ใช้เวลาเป็น 10 ปี จะทำให้เกิดการชะลอการปรับปรุงคุณภาพออกไปอีก เพราะข้อดีของยูโร 5 และยูโร 6 คือการกรองฝุ่น กำจัดฝุ่นควันดำ เครื่องยนต์จะดีหรือไม่ดี ฝุ่นจะปล่อยออกมาจากท่อไอเสียประมาณ 1% โดยเฉพาะยูโร 6 มีระบบบำบัดไอเสียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฝุ่นทุติยภูมิ ซึ่งจะทำให้รถปล่อยมลพิษต่ำตามมาตรฐานสากล”

สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา

แต่การจะทำให้มลพิษทางอากาศของ กทม. หมดไปหรือไม่นั้น สุพัฒน์ ระบุว่า อาจจะยัง เพราะจำนวนรถมีค่อนข้างเยอะ 12 ล้านกว่าคัน ที่อยู่บนท้องถนน การจราจรติดขัด ทำให้รถปล่อยมลพิษเยอะ และสะสมเกิดเป็นปัญหามลพิษทางอากาศ

นำมาสู่ เรื่องที่ 3 การปรับปรับปรุงระบบการจราจร โดยลดจำนวนรถ ที่เข้ามาในพื้นที่ การกำหนดเขตมลพิษต่ำ ช่วยในการจำกัดรถที่จะเข้ามาในพื้นที่ ทำให้มลพิษหรือลดน้อยลง

เรื่องที่ 4 คือ การดูแลรักษาคุณภาพรถ เพราะรถใหม่คุณภาพอย่างดีหากไม่มีการบำรุงรักษาจะทำให้สภาพเสื่อมโทรมขับและปล่อยมลพิษออกมา จะต้องมีมาตรการเข้าไปตรวจสอบการตรวจสภาพรถ ซึ่งข้อกำหนดในปัจจุบันที่ใช้มานานกว่า 20 ปี ที่ให้รถเก๋ง 7 ปี ตรวจสภาพ รถจักรยานยนต์ 5 ปี  ซึ่งมีการเสนอมาตลอดว่าให้ปรับรถเก๋งเหลือ 5 ปี และ 3 ปี สำหรับรถจักรยานยนต์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น

“การบังคับตรวจสภาพ มีไว้สำหรับป้องกันคนที่ละเลยการดูแลรักษารถ และปล่อยให้เกิดมลพิษ เมื่อตรวจไม่ผ่านก็ต้องกลับไปปรับปรุงแก้ไข อย่างน้อยปีละครั้ง ถ้าตรวจได้ถี่ขึ้นก็ยิ่งดี”

สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา

สุพัฒน์ ยังกล่าวถึง การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ที่ปัจจุบันพบว่าเป็นระบบราง แต่ยังขาดการเชื่อมโยงจากบ้านสู่สถานีรถไฟฟ้า และจากสถานีรถไฟฟ้าสู่จุดหมายปลายทาง นั้นทำให้ประชาชนยังคงเลือกที่จะใช้รถส่วนตัวเพราะสะดวกกว่า แต่หากพัฒนาระบบการขนส่งให้เชื่อมโยงกัน แต่ปัจจุบันก็ยังพบว่าระบบการขนส่งที่เชื่อมต่อก็มีมีทั้งอยู่ภายใต้กรมการขนส่งทางบกการขนส่งทางบก วิ่งทับเส้นทางกัน ซึ่งไม่เสริมการใช้งาน 

กรมโรงงานฯ ย้ำบทบาท
แก้แหล่งกำเนิดฝุ่นภาคอุตสาหกรรม 

ขณะที่ ศิรกาญจน์ เหลืองสกุล ผู้อำนวยการกองส่งเสริมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง กลไกการควบคุมฝุ่นภาคอุตสาหกรรม  ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับ กทม. โดยมี 2 มาตรการ ได้แก่

1. มาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปผลรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและปรับปรุงร่างกฎหมาย 

  • ร่างกฎหมายกำหนดค่ามาตรฐานปล่องระบายหม้อน้ำและหม้อต้ม บังคับใช้กับโรงงานจำพวกที่ 3 ที่มีการใช้หม้อน้ำและมต้ม โดยกำหนดค่า TSP SO2 NOx ที่ระบายออกจากกล่องหม้อน้ำและหม้อต้มที่เข้มงวดมากขึ้น

  • ร่างกฎหมายกำหนดให้โรงงานติดตั้ง CEMS โดยบังคับใช้กับโรงงานที่มีการระบายมลพิษสูง 11 หน่วยการผลิตเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร และกำหนดให้มีการตรวจวัดพารามิเตอร์พื้นฐาน ได้แก่ TSP SO2 NOx 

2. มาตรการด้านการกำกับดูแล มีแผนตรวจโรงงานเชิงรุก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรวมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 1,965 แห่ง

ศิรกาญจน์ ย้ำว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการดำเนินการ ภายใต้อำนาจที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอยู่แล้ว ภายใต้ พ.ร.บ.โรงงานฯ แต่เมื่อไปเทียบกับ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่มีการควบคุมการปล่อยมลพิษ มาตรฐานการปล่อย การรายงานผลการตรวจวัด เรื่องสารเคมี มีเรื่อง PRTR ซึ่งเป็นสิ่งที่กรมโรงงานทำอยู่แล้วจึงอยากฝากเป็นข้อสำหรับการพิจารณาให้อนาคต ทั้งเรื่องความเข้มข้นของกฎหมาย และหน่วยงานหลักในการดำเนินการ

เตรียมเชื่อมข้อมูลแก้ฝุ่นพิษ รับฝุ่น ม.ค. 69

ขณะเดียวกันหลายหน่วยงานได้ร่วมแถลงถึงการเตรียมจัดงานประชุม Thailand National PM2.5 Forum ครั้งที่ 2 (Thailand National PM2.5 Forum #2) ในวันที่ 20 – 21 ม.ค. 2569 ที่ห้อง Grand Diamond Ballroom อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติ ถกปัญหาฝุ่นควัน ภายใต้แนวคิดหลัก Transforming Systems Together : เปลี่ยนระบบ เชื่อมข้อมูล ขับเคลื่อนอากาศสะอาดร่วมกัน

นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ไทยเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งจากการเผาในที่โล่ง ภาคอุตสาหกรรม การคมนาคม และปัจจัยข้ามพรมแดน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของประชาชนทั่วประเทศ จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีผู้ป่วยกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เกือบ 1 ล้านคน และยังพบพื้นที่เผาไหม้สะสมในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมกันกว่า 10 ล้านไร่ จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน จำเป็นต้องแก้ไขด้วยข้อมูลวิทยาศาสตร์ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงเป็นที่มาของการจัดเวทีระดับชาติที่รวมผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย นักวิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายท้องถิ่น มุ่งสร้าง การเปลี่ยนระบบ เพื่ออากาศสะอาดอย่างยั่งยืน

“แนวคิดหลัก Transforming Systems Together: เปลี่ยนระบบ เชื่อมข้อมูล ขับเคลื่อนอากาศสะอาดร่วมกัน โดยเชื่อมข้อมูล-วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี ขับเคลื่อนนโยบาย เปิดพื้นที่ปฏิบัติการ สรรค์สร้างอากาศสะอาด ร่วมกันออกแบบกลไกการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นระบบ การประชุมครั้งนี้จะมีภาคีเข้าร่วม 100 องค์กร ร่วมผลักดันให้เกิดข้อเสนอเชิงนโยบาย มาตรการปฏิบัติการเชิงพื้นที่ โมเดลการจัดการที่สามารถนำไปใช้ในทุกภูมิภาคของประเทศ และผลักดัน พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ”

นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ 

สุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองมาจากการเผาในที่โล่ง ยานพาหนะ อุตสาหกรรม รวมถึงหมอกควันข้ามแดน การแก้ปัญหาที่เป็นปัญหาเชิงระบบ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อจัดการที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืน ซึ่งกรมควบคุมมลพิษจะเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพื่อเฝ้าระวัง คาดการณ์ล่วงหน้า และแจ้งเตือนประชาชนอย่างรวดเร็ว เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และ AI มาเสริมการทำงานให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงมาตรฐาน มาตรการ กฎหมายให้ทันสถานการณ์ เพื่อเป้าหมายร่วมคือการทำให้อากาศสะอาดเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้

ขณะที่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ กล่าวว่า มลพิษทางอากาศในไทยเกิดขึ้นทั่วประเทศ และมีสาเหตุที่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาบริบทของปัญหาเชิงพื้นที่แล้วสาเหตุหลักยังคงเป็นการเผาไหม้ในที่โล่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัญหาฝุ่นควันเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งยานพาหนะและการคมนาคมขนส่ง การก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีฝุ่นควันจากพื้นที่เกษตรกรรมที่เกิดจากการเผาไหม้เศษซากพืชไร่-พืชนาในจังหวัดรอบข้างกรุงเทพฯ ที่ผ่านมาสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ได้ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อหาทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีปัญหาต่อเนื่องยาวนาน

วีระศักดิ์ เชื่อว่า งานประชุม Thailand National PM2.5 Forum ครั้งที่ 2 จะเป็นเวทีแห่งความร่วมมือระดับชาติที่เชื่อมโยง ผู้กำหนดนโยบาย (ภาครัฐ) นักวิจัย ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคท้องถิ่น ร่วมขับเคลื่อนการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 อย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลจริง องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากผลงานวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเสียงของประชาชน

“เราจะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหา PM2.5 เป็นผลลัพธ์ของระบบที่ซับซ้อน เชื่อมโยงหลายมิติทั้งสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การคมนาคม ต่างประเทศ การใช้พลังงาน ความมั่นคงของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบโครงสร้างของสังคมจึงเป็นหัวใจ และต้องอาศัยการเปิดเผยข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ ประสานความร่วมมือข้ามเขต ข้ามหน่วยงาน ข้ามพรมแดน พร้อมเปิดมุมมองใหม่ ๆ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนสู่การหายใจที่สะอาดและปลอดภัยของทุกคน”

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active