หลังนำร่องที่ “ดุสิตโมเดล” และวันนี้เปิด “ราชพิพัฒน์แซนด์บ็อกซ์โมเดล” ยันทลายกรอบการทำงานข้ามสังกัด สำนักแพทย์-สำนักอนามัย เชื่อเป็นจุดเปลี่ยนระบบสาธารณสุข กทม. เพิ่มประสิทธิภาพ มั่นใจตอบสนองชุมชนมากขึ้น เตรียมขยายครอบคลุมทั่วกรุง
วันนี้ (26 ส.ค. 2565) การปรากฏตัวของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เขตบางแค กทม. ในการเปิดทดลองแซนด์บ็อกซ์ระบบสุขภาพอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อต้องการส่งสัญญาณว่าทั้งสำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย กทม. จากที่เคยทำงานแยกส่วนกันแต่นี้ต่อไปต้องทำงานร่วมกัน พร้อมยืนยันว่านโยบายรื้อระบบสาธารณสุขกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนหลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง ผ่านมาเกือบ 3 เดือนประสบความสำเร็จในแง่ของการทำพื้นที่ทดสอบ แม้จะเป็นเพียง 9 เขตจากที่มีทั้งหมด 50 เขตที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ก็ตาม
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขีดเส้นชัดเจนว่าสเต็ปต่อไป หลังจากที่มี แซนด์บ็อกซ์ระบบสุขภาพทั้ง 2 แห่งทั้งดุสิตโมเดล ฝั่งพระนคร และราชพิพัฒน์โมเดล ฝั่งธนบุรีแล้ว จะต้องขยายพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ระบบสุขภาพไปให้ได้ครึ่งหนึ่งของพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือ 25 เขตภายใน 1 ปีนี้
“ไม่น่าเชื่อว่า 3 เดือน นโยบายที่เราเสนอไป สามารถทำได้ และแทบไม่ได้ใช้งบหลวง ถ้าเราเชื่อใจมั่นใจ มีเอกชนจะมาร่วมมากมาย เพราะมั่นใจในระบบ ต่อไป คือจะทำยังไงให้ขยายกระจายไปในทุกชุมชน เป็นแบบนี้ในทุกชุมชน ภายใน 1 ปี ต้อง ให้ได้ ครึ่งหนึ่งของทั้งกรุงเทพฯ”
ชัชชาติ กล่าว
สำหรับการลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่สุขภาพฝั่งธนบุรีในวันนี้ มีการเยี่ยมชมองค์ประกอบหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันระบบแซนด์บ็อกซ์ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับระบบการแพทย์ปฐมภูมิ
ชัชชาติ ระบุว่าในกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลทุติยภูมิ ถึงตติยภูมิหลายแห่ง ถ้าเป็นโรคซับซ้อนคนกรุงเทพฯ สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบการแพทย์ปฐมภูมิเป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่เป็นจุดอ่อนมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้มาเห็น ศูนย์เด็กอ่อนในชุมชนซึ่งรับเลี้ยงเด็กอายุ 3 เดือนถึง 2 ขวบซึ่งเด็กกลุ่มนี้ไม่มีที่ไปเพราะศูนย์รับเลี้ยงเด็กเล็กจะรับเด็กตั้งแต่อายุ 2 ปีเป็นขึ้นไป การมีศูนย์เด็กอ่อน เป็นการคืนพ่อแม่สู่ระบบเศรษฐกิจ กลับไปทำงาน และเสริมพัฒนาการของเด็กไปพร้อมกัน
ขณะเดียวกันศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุในชุมชน ก็สอดรับกับสังคมสูงวัย และช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีที่จะนำพาหมอให้ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น อย่างเช่นการพบแพทย์ผ่าน Application LINE หรือการเยี่ยมบ้านให้คำปรึกษาผ่านระบบที่เรียกว่า Tele Medicine ซึ่งโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เพื่อ support คนไข้ที่อยู่ใน 5 เขตพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ
แซนด์บ็อกซ์ระบบสุขภาพ ทลายกรอบ 3 กองทุนสุขภาพ
ขณะที่อีกคำถามสำคัญคือเรื่องการจัดการ 3 กองทุนสุขภาพ ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการรักษาและการป้องกันโรค ซึ่งแต่ละคนก็ใช้สิทธิในการรักษาต่างกันไป ระบบปฐมภูมิที่หมายถึงคลินิกชุมชน หรือศูนย์บริการสาธารณสุขที่มีอยู่ อาจจะรับได้เฉพาะคนไข้สิทธิบัตรทองเท่านั้นในขณะที่สิทธิประกันสังคมซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของประชากร จะสามารถเข้าถึงการรักษาระบบปฐมภูมิเหล่านี้ได้หรือไม่
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่าไม่มีปัญหา งานปฐมภูมิต้องทั่วถึงและมีระบบการส่งต่ออยู่แล้ว ขณะที่ นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กทม. อธิบายเสริมว่าทั้ง 3 กองทุนมีการเชื่อมโยงกันตั้งแต่โควิด-19 ระบาด มีการเคลียร์รริ่งเฮาส์ และแนวความคิดที่จะแชร์ค่าใช้จ่ายกันอยู่แล้ว สามารถตั้งเรื่องเบิกที่โรงพยาบาลได้เลย ส่วน พญ.วันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เผยว่ากองทุนประกันสังคมหารือกับ สปสช. และพร้อมจะทำตามแนวทางของ สปสช. เช่นกัน