ชี้การส่งเสริมป้องกันโรคถูกกว่าค่ารักษาพยาบาล หลัง รพ.ชายแดนแห่งนี้ อนุเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลให้กลุ่มคนที่เบิกสิทธิ์ใดไม่ได้ ปี 2565 พุ่ง 30 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการ รพ.ท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เปิดเผยกับ The Active ว่า ยังไม่ได้รับโอนงบประมาณประจำปี 2566 จาก สปสช. ซึ่งปกติจะได้รับ ณ วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มปีงบประมาณ โดยคาดว่าปีนี้น่าจะล่าช้า จากการชี้แจงเบื้องต้นน่าจะได้รับช่วงปลายเดือนธันวาคม โดยปัจจุบันยังใช้เงินคงเหลือจากงบโควิด-19 ให้บริการประชาชนไปก่อน
ส่วนกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข ส่งให้ ครม.และคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความว่างบฯ ส่งเสริมและป้องกันโรค ใช้กับคนทุกสิทธิ์ได้หรือไม่ นพ.ธวัชชัย บอกว่าไม่ผลการตีความจะเป็นอย่างไรก็ยังคงจะต้องใช้งบส่งเสริมและป้องกันโรคเหล่านี้ไปกับทั้งกลุ่มคนไทยสิทธิ์บัตรทอง และกลุ่มคนไร้สถานะอย่างเท่าเทียมกัน ไม่สามารถแบ่งแยกได้เนื่องจากมองว่าการส่งเสริมและป้องกันโรคมีราคาถูกกว่าการรักษาพยาบาล ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายด้านการสงเคราะห์ผู้ป่วย ที่ไม่สามารถเบิกสิทธิ์ใด ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์บัตรทองหรือกองทุนผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ์ (ทร.99) จำนวนสูงถึง 30 ล้านบาทเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลแนวชายแดนอยู่ห่างจากชายแดนเมียนมาราว 250 เมตรทำให้มีกลุ่มบุคคลที่หลากหลายทั้งคนไทยกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มต่างด้าวเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก แทบไม่ทราบว่าใครเป็นใคร โดยที่โรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ ตามหลักมนุษยธรรม
“สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคืองานปฐมภูมิฝั่งประเทศเมียนมาหลังเกิดรัฐประหารมีเด็กได้รับวัคซีนพื้นฐานป้องกันโรคระบาด เช่น คอตีบ ไอกรน ไข้สมองอักเสบ ครอบคลุมเพียงแค่ 10% ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากและอาจก่อให้เกิดการระบาดข้ามมายังประเทศไทยได้ งานปฐมภูมิในฝั่งไทยจึงต้องรีบฉีดวัคซีนพื้นฐานให้กับเด็กทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยหรือเด็กสถานะใด”
นพ.ธวัชชัย
ขณะที่หน่วยบริการปฐมภูมิอย่าง รพ.สต. บ้านกาหม่าผาโด้ ซึ่งมีโรงพยาบาลท่าสองยางเป็นแม่ข่ายก็ตอบรับนโยบายของผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง โดย จิรศักดิ์ มรกตคีรีรัตน์ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกาหม่าผาโด้ พาทีมข่าวลงพื้นที่เพื่อให้เห็น ความท้าทายในการบริการปฐมภูมิซึ่งแต่ละชุมชนเข้าถึงลำบากและประชาชนบางคนไม่มีบัตรประชาชน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยมาจนเป็นผู้สูงอายุ และไม่ออกไปสู่โลกภายนอก ในขณะที่เด็กที่เกิดใหม่เกือบ 100% เป็นเด็กที่ถือบัตรประชาชนมีสัญชาติไทยกันหมดแล้ว ในขณะที่การทำงานด้านส่งเสริมป้องกันโรคไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยเบื้องต้น การจ่ายยา การฉีดวัคซีนจะแบ่งแยกหรือตรวจบัตรประชาชนทุกคน โดยให้บริการเท่ากันหมด ซึ่งก็เป็นงบประมาณก้อนเดียวกันจากงบส่งเสริมและป้องกันโรค (PP) ที่ได้มาจากกองทุนบัตรทองที่นำมาใช้ครอบคลุมทั้งกลุ่มคนไทยและกลุ่มคนไม่มีสถานะ