ชี้ ผู้ป่วยบัตรทองกำลังถูกทำให้เป็น “ตัวประกันของระบบ” พร้อมย้อนปมพิพาทตั้งแต่ ปี 63 โต้ระบบใหม่ Point System ทำ รพ.ขาดทุน ย้ำ เคลียร์หนี้ไม่ครบก่อน 16 ต.ค.นี้ จำเป็นต้องหยุด! ให้บริการบัตรทอง ด้าน สปสช. แจงระบบเบิกจ่าย เป็นไปตามข้อมูลบริการจริง ไม่เลือกปฏิบัติ
วันนี้ (9 ต.ค. 68) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงชี้แจงกรณีโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาเปิดเผยว่า สปสช. ค้างชำระหนี้ค่าบริการทางการแพทย์กว่า 110 ล้านบาท โดยระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขณะนี้ยอดคงค้างจริงอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายชำระแล้วในเช้าวันนี้ (9 ต.ค. 68)
สปสช.รับงบฯ แบบ ‘ปลายปิด’ จ่ายตามขั้นตอนและผลงานบริการ
ทพ.อรรถพร อธิบายอีกว่า สปสช.ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในลักษณะงบฯ ปลายปิด หมายถึง ได้เท่าไรต้องบริหารภายในกรอบนั้น ไม่มีการขาดหรือเกินงบฯ โดยงบฯ จะถูกจัดสรรให้หน่วยบริการ 2 รูปแบบหลัก
- จ่ายเหมาจ่ายรายหัว สำหรับบริการผู้ป่วยนอก การส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค ซึ่งโอนให้โรงพยาบาลล่วงหน้าเพื่อนำไปใช้ดำเนินงาน
- จ่ายตามผลงาน (Fee-for-Service) สำหรับผู้ป่วยใน ซึ่งจะจ่ายตามข้อมูลบริการจริงหลังจากโรงพยาบาลบันทึกและส่งข้อมูลเข้าระบบให้ สปสช.ตรวจสอบและคำนวณ
“เวลาโรงพยาบาลรับผู้ป่วยในเข้ารักษา สปสช.ยังไม่จ่ายทันที ต้องรอข้อมูลบริการเข้าระบบ คำนวณค่าใช้จ่ายตามน้ำหนักบริการ (DRG) แล้วจึงจ่าย ซึ่งตามปกติเราจ่ายเดือนละครั้ง”
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ

ปมค้างจ่ายงบบัตรทอง
ชี้แจงหนี้ ‘มงกุฎวัฒนะ’ ย้อนหลัง
ทพ.อรรถพร เปิดข้อมูลเชิงลึกว่า หนี้ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ อ้างว่าถูก สปสช.ค้างจ่ายกว่า 110 ล้านบาทนั้น เป็นยอดที่เกิดจากหลายปีงบประมาณ และมีรายละเอียดแตกต่างกัน โดยสรุปดังนี้
- ปี 2563: เกิดจากกรณีคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพฯ ถูกยกเลิกสัญญากว่า 200 แห่ง เนื่องจากเบิกเงินผิดเงื่อนไข ทำให้มีหนี้ค้างกับมงกุฎวัฒนะราว 13.2 ล้านบาท ซึ่งบอร์ด สปสช.มีมติให้คลินิกเป็นผู้ชำระคืน ไม่ใช่ สปสช. ต่อมาได้ไล่ตามหนี้และมีการคืนเงินแล้วบางส่วน เหลือคงค้าง 8.9 ล้านบาท
- ปี 2566: สปสช.จ่ายให้มงกุฎวัฒนะแล้ว 638 ล้านบาท และภายหลังมีการปรับตรวจสอบใหม่ โรงพยาบาลได้รับเพิ่มอีก 2 ล้านบาท รวมเป็น 640 ล้านบาท
- ปี 2567: จ่ายแล้ว 651 ล้านบาท แต่มีการเปลี่ยนระบบคำนวณเป็น “Point System” ทำให้ต้อง เรียกคืน 16 ล้านบาท จากการคำนวณใหม่
- ปี 2568 (ปัจจุบัน): จ่ายแล้ว 618 ล้านบาท และมียอดคงค้างบางส่วนจากเงินกันไว้กลางปี เช่น เงินชดเชยผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก และเงินกลางบัญชีรวมประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการโอนให้โรงพยาบาลแล้วในวันนี้
“หนี้คงค้างที่เป็นข่าว 110 ล้านนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อเทียบตัวเลขจริงหลังหักคืนและคำนวณใหม่ เหลืออยู่ราว 36 ล้านบาท และได้จ่ายไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้า”
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
ยืนยันจ่ายงบฯ ตามระบบ ไม่ใช่ “เบี้ยวหนี้”
ทพ.อรรถพร ย้ำว่า สปสช.ไม่ได้ “เบี้ยวหนี้” โรงพยาบาลเอกชนใด แต่การเบิกจ่ายต้องเป็นไปตามข้อมูลบริการจริง และระบบตรวจสอบมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง
“เราจ่ายตามเกณฑ์ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ส่วนที่โรงพยาบาลมองว่ายังไม่ได้เงินครบ อาจมาจากการคิดคนละวิธี เช่น โรงพยาบาลคิดยอดสะสมทุกปี แต่ สปสช.คิดยอดสุทธิหลังหักคืนและปรับอัตราจ่าย”
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
ขอใช้ งบกลาง 8,000 ล. เคลียร์ภาระปีงบ 68
รองเลขาฯ สปสช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สำนักงานได้เสนอขอใช้งบกลางจำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อชำระภาระค่าบริการที่เกินกว่ากรอบงบประมาณปกติ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เห็นชอบและเตรียมเสนอเข้า ครม.เพื่อพิจารณา
“เราคำนวณไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงต้องทำเรื่องขอใหม่ หากได้รับงบฯ เมื่อใดก็จะเร่งจ่ายเคลียร์ทันที เพราะตัวเลขอยู่ครบพร้อมตรวจสอบได้ทั้งหมด”
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
ยันไม่กระทบผู้ป่วยบัตรทอง
ทพ.อรรถพร ยังยืนยันด้วยว่า สปสช.จะพยายามทุกทางไม่ให้ปัญหาการเบิกจ่ายกระทบผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่พึ่งพาโรงพยาบาลเอกชนจำนวนมากในระบบหลักประกันสุขภาพ
“เรายินดีอย่างมากที่มีโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาเสริมระบบ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ทั่วถึง หากโรงพยาบาลใดยังมีความพร้อมและตั้งใจดูแลคนไข้ เราก็พร้อมร่วมมือ เพราะสุดท้ายเป้าหมายคือให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุด”
“ต้องยอมรับว่า โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะดูแลคนไข้ได้ดี และเราเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ คนไข้ต้องได้รับการรักษา”
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
‘หมอเหรียญทอง’ โต้ ชี้ข้อพิพาทตั้งแต่ปี 63
บรรยากาศเวทีแถลงข่าวของ สปสช. กลายเป็นเรื่องราวให้พูดถึงอีกครั้งเมื่อ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เดินทางเข้าร่วมงานนี้ด้วย เพื่อขอชี้แจงและตอบโต้ข้อมูลของ สปสช. ต่อหน้าสื่อมวลชน
พล.ต.นพ.เหรียญทอง เปิดประเด็นว่า ไม่ได้มีเจตนามาทะเลาะ แต่ต้องการชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงอีกด้านที่ สปสช. “อาจไม่ทราบ หรือทราบแต่ไม่ได้พูด” โดยย้อนเล่าความสัมพันธ์ระหว่างโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กับ สปสช. ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งในตอนนั้น สปสช. เขต 13 ได้ขอให้โรงพยาบาลช่วยรับผู้ป่วยบัตรทองจำนวน 10,000 คน ก่อนจะขยายเป็น 20,000 คน

“ผมก็รับหมดครับ ไม่เคยคิดเรื่องผลประโยชน์อะไร เพราะมีจิตอาสา อยากช่วยระบบบัตรทองให้เดินต่อได้… มงกุฎวัฒนะก็กลายเป็นคู่สัญญาครบทุกระดับ ทั้งปฐมภูมิ ทุติภูมิ และตติยภูมิ”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นไปด้วยดีมาตลอด จนเกิดปัญหาในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการตรวจพบการทุจริต “คลินิกผี” เบิกงบฯ เท็จในโครงการคัดกรองโรคเมตาบอลิกในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมกว่า 200 แห่ง
“ตอนนั้นโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดถูกยกเลิกสัญญา เหลือผมแห่งเดียวที่ไม่ได้ทุจริต… สปสช. จึงมาขอให้ผมช่วยรับผู้ป่วยจากคลินิกที่ถูกปิดกว่า 2-3 ล้านคนในกรุงเทพฯ ผมก็รับเต็มที่ แต่ภายหลังกลับเกิดหนี้ค้างจ่ายกว่า 13 ล้านบาท จากบริการผู้ป่วยที่โรงพยาบาลรับไว้ตามคำขอของ สปสช. ซึ่งภายหลังมีการชำระเพียงบางส่วน เหลือหนี้อีกประมาณ 8 ล้านบาท ที่ ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบ ผมต้องไปทวงเอง ใช้ความเถื่อนของผมนั่นแหละ ถึงได้มาบางส่วน แต่ที่เหลือ 8 ล้าน สปสช. บอกให้ไปเรียกเก็บกับคลินิกเอง ทั้งที่คลินิกเหล่านั้นเปลี่ยนนิติบุคคลใหม่หมดแล้ว ใครจะไปตามได้”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังระบุว่า ปัญหานี้เกิดจาก สปสช. ในฐานะ Clearing House ที่ควรเป็นผู้จัดการชำระเงินระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาล แต่กลับไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ทำให้หนี้ดังกล่าวค้างมาจนถึงปัจจุบัน
ปมใหม่ปี 2567 โมเดล 5 และระบบ Point System
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังกล่าวถึงปัญหาล่าสุดในปี 2567 ภายใต้ โมเดล 5 ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 โดย สปสช. เปลี่ยนระบบการจ่ายเงินจาก Free Schedule เป็น Point System ซึ่งเขาระบุว่า ไม่เคยได้รับแจ้งมาก่อน
“ตอนนั้นผมถูกเชิญให้รับผู้ป่วยส่งต่อจาก 35 คลินิก เขตกรุงเทพฯ เหนือ รวมประชากรกว่า 200,000 คน… เจ้าหน้าที่ สปสช. มาพูดเองที่โรงพยาบาล บอกว่าจะจ่ายค่ารักษาตาม Free Schedule ผมก็รับไว้ เพราะเห็นว่าคนไข้จะได้ไม่เดือดร้อน”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
แต่ต่อมา โรงพยาบาลกลับไม่ได้รับเงินค่ารักษาตั้งแต่มีนาคมถึงกันยายน 2567 รวมกว่า 47 ล้านบาท และภายหลังยังได้รับแจ้งว่า ต้องถูก “เรียกหนี้คืน” อีก 38 ล้านบาท ภายใต้ระบบ Point System ที่ไม่เคยมีการประกาศใช้มาก่อนในปีงบฯ ดังกล่าว
“ผมเพิ่งมารู้ตอนต้นปี 68 ว่าจะเอา Point System ไปใช้ย้อนหลัง… แบบนี้เรียกว่าเบี้ยวหนี้ชัด ๆ ผมรักษาเขาไปฟรี ๆ แล้วจะให้ผมติดหนี้เพิ่มอีกเหรอ มันไม่แฟร์เลย”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่า ระบบ Point System ไม่เคยถูกพูดถึงในการประชุมระหว่าง สปสช. และโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเมื่อเดือนมีนาคม 2567 และเอกสารนำเสนอในวันนั้นมีเพียงแนวทางการจ่ายเงินแบบ “Free Schedule” เท่านั้น
เขายังกล่าวว่าภายหลัง สปสช. มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาปรับลดอัตราจ่ายค่าบริการและค่ายา “ต่ำกว่าทุน” โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด
“ค่าหมอ 200 บาท ค่าบริการโรงพยาบาลเหลือ 50 บาท จะให้ผมอยู่ได้ยังไง ผมต้องจ่ายทั้งค่ายา ค่าแรงบุคลากร ผมไม่เคยผิดนัดจ่ายใครเลย แต่ระบบกลับมัดมือชกกันแบบนี้”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
หนี้ 47 ล้าน!! และการขอความเป็นธรรม
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ย้ำว่า หนี้ค่ารักษากว่า 47 ล้านบาท ของปี 2567 ปัจจุบัน สปสช. ยังไม่ได้ชำระแม้แต่บาทเดียว และล่าสุดเพียงแต่มีการประกาศในเพจสำนักงานเมื่อวันที่ 8 กันยายน ว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปสช.
“ผมช่วย สปสช. เพราะเห็นแก่คนไข้ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเอง แต่วันนี้ผมกลับกลายเป็นลูกหนี้ ทั้งที่ไม่ได้รับเงินเลยแม้แต่สตางค์เดียว”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
บรรยากาศในห้องแถลงข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขณะที่ผู้บริหาร สปสช. ซึ่งอยู่ในงานได้แต่นั่งรับฟัง โดยยังไม่มีการชี้แจงต่อประเด็นหนี้ค้างจ่ายที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวอ้างอย่างละเอียดในขณะนั้น

ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ยิ่งทำงานกับผู้ป่วยมากเท่าใด เขายิ่งรู้สึกผูกพันกับคนไข้ แต่ขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่าผู้ป่วยบัตรทองกำลังถูกทำให้เป็น “ตัวประกันของระบบ” โดยเฉพาะเมื่อโรงพยาบาลต้องรักษาโดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจาก สปสช.
“ผมต้องดูแลคนไข้ที่ สปสช. เอามาฝากไว้ แต่ไม่จ่ายเงินมาให้รักษา…จนวันนี้ผมไม่มีเงินจ่ายแพทย์ ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน วันที่ 15 ตุลาคมนี้ ผมไม่รู้จะหาเงินที่ไหนแล้ว วันที่ 16 ตุลาคมนี้ ผมก็ต้องหยุดให้บริการ”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
“หมอไม่ได้รวย” หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเอกชนที่รับผู้ป่วยบัตรทอง “ไม่ได้มีรายได้พิเศษอะไรเลย” เพราะค่ารักษาที่ สปสช. จ่ายนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง และเมื่อเงินค้างจ่ายสะสมมาหลายปี โรงพยาบาลก็ไม่สามารถรับภาระต่อได้
หนี้สะสมหลายปี จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับ
พล.ต.นพ.เหรียญทอง อธิบายว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่หนี้ค้างจ่ายตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 และ 2567 รวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้รับการเคลียร์ ทั้งที่ สปสช. เพิ่งโอนเงินมาเพียง “30 กว่าล้าน” ซึ่งไม่พอแม้จะชำระดอกเบี้ยสะสม
“ผมพูดตรง ๆ เลย วันที่ 16 ตุลาคมนี้ ผมจะหยุดบริการชั่วคราวจนกว่า สปสช. จะเคลียร์หนี้ปี 63 กับปี 67 ให้เรียบร้อย เพราะผมยอมรับไม่ได้กับระบบที่อยู่ดี ๆ ก็มีการอ้างว่าโรงพยาบาล ต้องคืนเงินอีก 38 ล้านจาก ‘Point System’ ที่เพิ่งมารู้ตอนนี้”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
พร้อมย้ำว่า “การหยุด” ครั้งนี้ไม่ใช่การปิดถาวร แต่เป็นการ “หยุดเพื่อให้ระบบหยุดโก่ง” หยุดก่อนที่ปัญหาจะสะสมลึกกว่านี้
ตั้งเงื่อนไขชัด ‘เคลียร์หนี้ก่อน ถึงเดินต่อ’
พล.ต.นพ.เหรียญทอง สรุปเงื่อนไขอย่างตรงไปตรงมา ว่า
- สปสช. ต้องเคลียร์หนี้ปี 2563 ประมาณ 8 ล้านบาท
- เคลียร์หนี้ปี 2567 อีกกว่า 40 ล้านบาท
- รวมถึงค่าใช้จ่ายจากกรณีรับผู้ป่วยส่งต่อ (OP Refer) จาก 35 คลินิกกว่า 200,000 คน ที่สปสช. เคยตกลงว่าจะจ่ายตาม Free Schedule อีกประมาณ 40 ล้านบาท
“สองก้อนนี้ถ้าเคลียร์ได้ทุกอย่างจบ ส่วนปี 68 ผมเข้าใจว่าเป็นระบบปกติ เดินต่อได้เลย แต่ถ้าไม่เคลียร์ ผมก็ต้องหยุดก่อน เพื่อไม่ให้ปัญหามันซับซ้อนขึ้น”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
“ผมไม่ได้อยากให้คนไข้เดือดร้อน”
จึงเปิด โครงการบัตรทองแพลตินัม ให้คนไข้ช่วยตัวเอง
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ย้อนเล่าถึงช่วงก่อนหน้านี้ว่า เคยต้องยกเลิกการส่งต่อ จาก 35 คลินิก ทำให้ผู้ป่วยกว่า 200,000 คนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง เขาจึงตัดสินใจสร้างโครงการใหม่ชื่อว่า “บัตรทองแพลตินัม” เพื่อให้ผู้ป่วยที่ประสงค์จะรักษาต่อที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ สามารถร่วมจ่ายได้ในราคาต่ำกว่าที่รัฐเคยกำหนด
“ผมให้คนไข้จ่ายเองเพียง 150 บาทต่อครั้ง ทั้งค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล รวมค่ายาเท่าราคาของรัฐ ค่าตรวจทั้งหมด CT, MRI, X-ray ตรวจราคาได้ก่อนผ่าน QR Code เฉลี่ยแล้วจ่ายเดือนละพันบาท แต่ได้ยาสามเดือน คนไข้ช่วยตัวเองได้ระหว่างที่รอ สปสช. เคลียร์หนี้”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
เขาย้ำว่า โครงการนี้เริ่มนำร่องตั้งแต่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อให้คนไข้ไม่ต้องย้ายสิทธิ์ในทันที และยังสามารถรักษาต่อเนื่องได้จนถึงวันที่ 16 ตุลาคมนี้

ระบบ Point System คือชนวนความขัดแย้ง
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังระบุว่า ปัญหาหลักอีกอย่างที่ทำให้เกิด “ความไม่ไว้วางใจ” คือระบบใหม่ที่ สปสช. ใช้คำนวณจ่ายเงินแก่หน่วยบริการ เรียกว่า Point System ซึ่งนำคะแนนประสิทธิภาพมาหักหรือตัดงบในภายหลัง
“ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันส่งผลให้โรงพยาบาลต้องคืนเงิน ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ โรงพยาบาลที่รับส่งต่อแบบเราไม่ได้รับเหมาจ่ายรายหัวอยู่แล้ว แต่กลับถูกเรียกเงินคืน ผมกลายเป็นหนี้เพิ่มอีก 38 ล้าน”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า โรงพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่งอาจยังไม่รู้ว่าระบบใหม่นี้จะส่งผลให้ต้องคืนเงินเช่นเดียวกัน “ผมพูดตรงๆ ถ้าทุกโรงรู้พร้อมกัน ผมว่าอีกหลายโรงก็คงถอย”
ยัน “ไม่รับ Point System” พร้อมยืนบนขาของตัวเอง
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุด้วยว่า ไม่เคยยอมรับระบบ Point System เพราะไม่เคยเข้าร่วมประชุม อปสข. (คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต) ที่เป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ และได้ทำหนังสือขอถอนตัวจากตำแหน่งกรรมการมานานแล้ว
“ผมไม่เคยรับเบี้ยประชุม ไม่เคย defend ตัวเอง ผมเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ผอ.โรงพยาบาลไม่ควรเป็นกรรมการที่กำหนดเกณฑ์การจ่ายเงินตัวเอง ผมเลยไม่ร่วมประชุมตั้งแต่นั้น”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ทั้งนี้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ จะให้บริการเฉพาะผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนโดยตรงกับโรงพยาบาล ไม่ผ่านระบบส่งต่อของคลินิก เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหักเงินย้อนหลังจาก Point System อีก
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า การรักษาโรงพยาบาลที่มีคุณภาพไว้ในระบบบัตรทองควรเป็นเป้าหมายร่วมกันของรัฐและทุกฝ่าย
“ผมอาจจะพูดแรง ปากร้าย แต่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเป็นโรงพยาบาลที่ดี บุคลากรทุกคนตั้งใจ คนไข้กว่าครึ่งล้านที่ผมดูแลมาด้วยใจ วันนี้ผมเพียงต้องการให้รัฐเห็นปัญหาและแก้มันจริงๆ ไม่ใช่ปล่อยให้หมุนหนี้ข้ามปีไปเรื่อยๆ หาก สปสช. เคลียร์หนี้เก่าได้ครบ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะก็พร้อมกลับมาให้บริการผู้ป่วยบัตรทองตามปกติทันที ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ ผมทำเพราะคนไข้ ผมอยู่ได้เพราะคนไข้ แต่ผมอยู่ไม่ได้ถ้าระบบไม่ยุติธรรมกับโรงพยาบาลที่ทำงานจริง”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา