หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

ชี้ระบบใหม่สร้างความยุ่งยากคนไข้และโรงพยาบาล บังคับให้แยกแยะการตรวจที่เกี่ยวกับมะเร็ง หน่วยบริการเสี่ยงถูกปฏิเสธการเบิกจ่าย ผู้ป่วยต้องหาใบส่งตัวทุกครั้งที่มาติดตามผล แม้เป็นการตรวจที่เคยทำโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว 

14 ธ.ค.67 ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ให้สัมภาษณ์รายการตรงประเด็น ไทยพีบีเอส วันที่ 13 ธ.ค. 2567 กรณีการปรับเงื่อนไขการเบิกจ่ายกองทุนมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 ซึ่งทำให้เกิดความสับสนในกลุ่มผู้ป่วยที่ถูกหน่วยบริการขอใบส่งตัว โดยจากการชี้แจงของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตัวเขาเองไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากทำงานในส่วนของการตรวจวินิจฉัยโรค แต่ในส่วนของการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในหน่วยบริการและโรงพยาบาลต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ในอดีต โครงการ “Cancer Anywhere” อนุญาตให้หน่วยบริการเบิกจ่ายค่าดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งจาก สปสช. โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวจากต้นสังกัดสิทธิ์ของผู้ป่วยในทุกกรณี หากการรักษายังคงเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง เช่น

  • การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินระยะของโรค
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • การติดตามผลการรักษา เช่น หลังให้ยาแล้วต้องตรวจดูว่ามีผลข้างเคียงหรือไม่ หรือการตรวจติดตามการยุบตัวของก้อนมะเร็ง

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในอดีตสามารถเบิกจ่ายจาก สปสช. ได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว แต่การเปลี่ยนแปลงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ระบบที่ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวจะถูกจำกัดเฉพาะในส่วนของ การให้ยาและการฉายแสง เท่านั้น หมายความว่า

  • หากผู้ป่วยมารับยา ให้น้ำเกลือ หรือฉายแสงเพียงอย่างเดียว จะไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
  • แต่ถ้าผู้ป่วยต้องมารับการตรวจติดตาม เช่น ตรวจแล็บหลังให้ยา, ตรวจเอกซเรย์ หรือทำ CT Scan ฯลฯ ทุกครั้งที่มีการนัดหมายหรือการตรวจเหล่านี้ จะต้องมีใบส่งตัวเสมอ

ศ.นพ.มานพ ย้ำว่าทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดที่ระบุชัดเจนในเอกสารชี้แจงของ สปสช.ที่ชี้แจงกับหน่วยบริการ  และกล่าวเพิ่มเติมว่า มีสองมุมมองที่ต้องพิจารณาในประเด็นนี้

1. มุมมองของผู้กำหนดนโยบาย

จากมุมของผู้กำหนดนโยบาย อาจมองว่า การเบิกจ่ายภายใต้กองทุน Cancer Anywhere ควรครอบคลุมเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งโดยตรงเท่านั้น ในกรณีที่การรักษาหรือการตรวจไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ก็ไม่ควรนำมารวมในกองทุนดังกล่าว

2. มุมมองในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การแยกส่วนการเจ็บป่วยของผู้ป่วยไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจน เพราะผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานหรือโรคไต และผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งอาจกระทบต่อโรคเหล่านี้ เช่น การรักษามะเร็งอาจทำให้การทำงานของไตแย่ลง ส่งผลให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนสูตรยาและวางแผนการรักษาใหม่

ความซับซ้อนในทางปฏิบัติ

ศ.นพ.มานพ กล่าวว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน การดูแลผู้ป่วยมะเร็งต้องคำนึงถึงสุขภาพทั้งองค์รวม ไม่สามารถแยกส่วนการรักษาโรคได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น

  • หากผู้ป่วยมะเร็งมีโรคเบาหวาน แพทย์จำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อประเมินความพร้อมในการรักษามะเร็ง
  • หากผู้ป่วยมีโรคไต ต้องตรวจค่าการทำงานของไตเพื่อปรับการใช้ยา

แต่ในระบบเบิกจ่ายของ สปสช. กลับกำหนดให้ต้องแยกส่วนว่า “รายการนี้เกี่ยวข้องกับมะเร็ง” หรือ “รายการนี้ไม่เกี่ยวข้อง” ซึ่งในความเป็นจริงเป็นไปได้ยาก เช่น หากตรวจค่าการทำงานของไต ระบบอาจมองว่าไม่เกี่ยวกับการรักษามะเร็ง ทั้งที่ความผิดปกติของไตอาจส่งผลโดยตรงต่อแผนการรักษามะเร็ง

“สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ การแยกแยะว่าการตรวจหรือการรักษาใด “เกี่ยว” หรือ “ไม่เกี่ยว” กับมะเร็งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ป่วยต้องการการดูแลแบบองค์รวม และทุกปัจจัยล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งในท้ายที่สุด” 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูขัดแย้งและยังไม่มีเหตุผลชัดเจน เพราะสุดท้ายแล้ว คนไข้จะต้องเผชิญความยุ่งยากมากขึ้น เนื่องจากระบบใหม่ที่กำหนดให้แยกแยะการรักษาเฉพาะ “ที่เกี่ยวกับมะเร็ง” และ “ไม่เกี่ยวกับมะเร็ง” อย่างชัดเจน

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในขั้นตอนการเบิกจ่าย โรงพยาบาลจำเป็นต้องแนะนำให้คนไข้นำใบส่งตัวมาทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย แม้แต่การมาตรวจติดตามผลที่เป็นส่วนหนึ่งของการรักษามะเร็ง โรงพยาบาลก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าการตรวจในวันนั้นจะไม่มีการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจแล็บหรือเอกซเรย์ ดังนั้น หากไม่มีใบส่งตัว โรงพยาบาลอาจต้องปฏิเสธการให้บริการ และส่งคนไข้กลับไปใช้สิทธิตามต้นสังกัด

กรณีตัวอย่างในชีวิตจริง

คนไข้มะเร็งส่วนใหญ่ที่อยู่ในโรงพยาบาล มักต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีการนัดติดตามผลล่วงหน้าอยู่แล้ว เช่น หากมีการนัดหมายในอีก 3 เดือนข้างหน้า โรงพยาบาลต้องแจ้งคนไข้ล่วงหน้าว่า “ครั้งหน้าอย่าลืมนำใบส่งตัวมาด้วย” โดยเฉพาะหากวันนัดหมายตรงกับช่วงหลังวันที่ 1 มกราคม 2568 เมื่อระบบใหม่มีผลบังคับใช้

หากคนไข้ไม่มีใบส่งตัวในวันนัดหมาย โรงพยาบาลอาจไม่สามารถให้บริการได้ เนื่องจากข้อกำหนดของ สปสช. ที่ระบุว่า การเบิกจ่ายได้เฉพาะ “การให้ยา” หรือ “การฉายแสง” เท่านั้น ส่วนการตรวจอื่น ๆ ที่ไม่เข้าข่ายจะไม่สามารถเบิกจ่ายได้หากไม่มีใบส่งตัว

ระบบนี้ทำให้คนไข้ต้องลำบากมากขึ้น เนื่องจากต้องเดินทางกลับไปขอใบส่งตัวทุกครั้ง แม้แต่กรณีที่เป็นการติดตามผลตามปกติ ซึ่งเป็นภาระเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยและครอบครัวที่ต้องรับมือกับโรคมะเร็งอยู่แล้ว

สปสช. ให้ข่าวเลี่ยงบาลี โดยยืนยันว่า ‘ยังไม่ยกเลิก’ โครงการ ซึ่งฟังเผิน ๆ ดูเหมือนทุกอย่างยังคงเดิม ผู้ป่วยยังสามารถใช้บริการได้ แต่คำถามคือ ใช้บริการอะไร? สิ่งที่เหลืออยู่คือการให้ยาและฉายแสงเท่านั้น แต่รายละเอียดอื่น ๆ กลับไม่ได้พูดถึงทั้งหมด

ผลกระทบต่อหน่วยบริการ

ในฐานะหน่วยบริการ แม้จะต้องปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขใหม่เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายค่าบริการคืนได้ แต่ความเสี่ยงกลับตกอยู่ที่โรงพยาบาลและหน่วยบริการเอง ไม่ใช่ผู้ป่วย เพราะ

  1. ค่าใช้จ่ายในการให้บริการ เช่น ค่ายา ค่าตรวจแล็บ หรือค่าทำ CT Scan เกิดขึ้นทันทีในหน้างาน
  2. หากหน่วยบริการไม่สามารถเบิกจ่ายคืนจาก สปสช. ได้ จะกลายเป็นปัญหาทางการเงินโดยตรง

ดังนั้น หน่วยบริการจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ สปสช. กำหนด เพราะหากผิดพลาดจนเบิกจ่ายไม่ได้ ความเสียหายจะตกอยู่ที่โรงพยาบาล

ด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวดและความไม่แน่นอนในระบบเบิกจ่าย หน่วยบริการไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผลักภาระกลับไปให้ผู้ป่วย เช่น ขอให้ผู้ป่วยนำใบส่งตัวจากต้นสังกัดมาทุกครั้ง แม้จะเป็นการมาตรวจติดตามผลที่เคยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวมาก่อน

ปัญหาเชิงระบบ

ศ.นพ.มานพ กล่าวในตอนท้ายว่า หาก สปสช. ยังคงสร้างเงื่อนไขเช่นนี้ต่อไป หน่วยบริการย่อมไม่กล้าดำเนินการใด ๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธการเบิกจ่าย และภาระทั้งหมดจะตกอยู่ที่ผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การอ้างว่าจะปรับระบบหรือหาทางแก้ไขในอนาคต แต่ยังคงให้ต้นสังกัดทำตามรูปแบบเดิมไปก่อน โดยไม่มีแนวทางหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำอะไรโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนรองรับ.

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active