นักวิจัย TDRI ชี้ ค่ารักษาต่างด้าวพุ่ง เป็นเพียงปลายเหตุ – ย้ำปัญหาคือการบังคับใช้กม.ที่หละหลวม

“ณัฐนันท์” มองปมค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวเรียกเก็บไม่ได้ เหตุจากการบังคับใช้กฎหมายที่ล้มเหลว ทำแรงงานจำนวนมากอยู่นอกระบบประกันสุขภาพ เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขไทย เสนอรัฐมีมาตรการเข้มงวดเป็นระบบมากขึ้น ด้าน ​รมว.​สธ. แจงขึ้นค่าบัตรสุขภาพแรงงานต่างด้าว ต้องหารือหลายหน่วยงานก่อนเสนอ ครม. เผย แรงงาน 4 ล้านคน อยู่นอกระบบประกันสังคมกว่า 2 ล้านคน แนะขอสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ

ปัญหาค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวที่เรียกเก็บไม่ได้ กลายเป็นประเด็นร้อน หลังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานสถานการณ์สังคมไทย พบว่าค่ารักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท แต่สามารถเรียกเก็บได้เพียง 3% เท่านั้น ขณะที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาตอบโต้ไม่เชื่อตัวเลขดังกล่าว ชี้สูงเกินความเป็นจริง เปรียบเทียบงบ สปสช. ทั้งประเทศใช้เพียง 1.5 แสนล้านบาท เผยตัวเลขจริงปี 2566 อยู่ที่ 2,054 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจาก 5 โรงพยาบาลในแม่สอดมีค่าใช้จ่ายเพียง 154 ล้านบาท สั่งคณะกรรมการกองทุนประชุมเร่งหาทางแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวในจังหวัดชายแดน 31 จังหวัดที่เรียกเก็บค่ารักษาไม่ได้​​​​​​​​​​​​​​​​ แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2568 สศช. แถลงยืนยัน ข้อมูลจริงทำหนังสือขอจาก กระทรวงสาธารณสุข โดยกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สธ. แจ้งด่วนมาว่าจะส่งข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วมาให้ สศช. อีกครั้งเร็วๆ นี้

วันนี้ (2 มี.ค. 2568) ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยจาก TDRI ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐมิติและสถิติตามแนวทาง Bayesian โดยเน้นประยุกต์ใช้กับข้อมูลเศรษฐศาสตร์ การเงิน สาธารณสุขศาสตร์ และสังคมศาสตร์บางสาขา ให้สัมภาษณ์กับ The Active ว่า ประเด็นนี้เป็นเพียง “ปลายเหตุ” ของปัญหา แต่ต้นเหตุที่แท้จริงคือความล้มเหลวของการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติของไทย

แรงงานต่างด้าว: จาก “กำลังผลิต” สู่ “ภาระด้านสาธารณสุข”

ณัฐนันท์ อธิบายว่า ประเทศไทยนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาเพื่อเป็นกำลังแรงงานหลักในหลายภาคส่วน โดยในอดีตแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัยฉกรรจ์ มีสุขภาพแข็งแรง และไม่ควรเป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขมากนัก อย่างไรก็ตาม ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจนสำหรับแรงงานที่พำนักอยู่ในไทยระยะยาว

“แรงงานที่อยู่ไปนาน ๆ เริ่มมีอายุเพิ่มขึ้นและต้องการการรักษาพยาบาลมากขึ้น แต่กลับไม่มีระบบที่รองรับพวกเขาอย่างเป็นทางการ ทำให้ท้ายที่สุดแล้วภาระค่ารักษาตกอยู่กับโรงพยาบาลรัฐและงบประมาณของประเทศ” ณัฐนันท์ กล่าว

ระบบประกันสุขภาพมีอยู่ แต่แรงงานนอกระบบคือปัญหาใหญ่

ณัฐนันท์ กล่าวว่า ตามหลักการ แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องจะต้องอยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพ เช่น ประกันสังคม หรือ บัตรประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายสมทบค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม มีแรงงานจำนวนมากที่อยู่นอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย หรือแรงงานที่มีใบอนุญาตทำงานแต่หลีกเลี่ยงการจ่ายค่าประกันสุขภาพ

ปัญหาคือแรงงานต่างด้าวจำนวนมากไม่ได้อยู่ในระบบประกันสุขภาพ ซึ่งอาจเกิดจากนายจ้างไม่ขึ้นทะเบียน หรือแม้แต่แรงงานเองก็เลือกที่จะไม่ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน เพราะเห็นว่าผู้ที่อยู่นอกระบบก็ยังสามารถอยู่ในประเทศและเข้าถึงการรักษาได้

ผลที่ตามมาคือ โรงพยาบาลรัฐต้องให้การรักษาโดยไม่มีการชดเชยค่าใช้จ่าย เพราะจรรยาบรรณทางการแพทย์บังคับให้ต้องรักษาผู้ป่วยทุกคน ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บไม่ได้พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ต้นเหตุคือ “การบังคับใช้กฎหมาย” ที่ล้มเหลว

ณัฐนันท์ย้ำว่า ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขค่ารักษาพยาบาล แต่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้แรงงานจำนวนมากสามารถอยู่ในประเทศได้โดยไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง หรือไม่ต้องเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพเลย

“เรามีกฎหมายที่กำหนดให้แรงงานต่างด้าวต้องทำประกันสุขภาพ แต่เรากลับไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทำให้แรงงานจำนวนมากอยู่นอกระบบ แล้วปัญหาก็ตกมาที่ภาครัฐ ซึ่งต้องรับภาระค่าใช้จ่ายแทน”

นักวิชาการ TDRI ระบุ

นอกจากนี้ การผ่อนผันแรงงานผิดกฎหมายบ่อยครั้ง ยิ่งทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เช่น การปล่อยให้ใบอนุญาตหมดอายุ เพราะรู้ว่ารัฐบาลมักจะเปิดโอกาสให้ขึ้นทะเบียนใหม่อยู่เรื่อย ๆ

ข้อเสนอ: ต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม

เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว ณัฐนันท์เสนอว่า รัฐบาลต้องเข้มงวดกับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างจริงจัง เช่น
• ตรวจสอบและลงโทษนายจ้างที่ไม่ขึ้นทะเบียนแรงงาน
• จัดระเบียบแรงงานที่ไม่มีเอกสารให้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง
• สร้างแรงจูงใจให้แรงงานเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ ด้วยมาตรการที่ชัดเจนและเข้าถึงได้

“ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและบริการ การมีระบบรองรับที่ดีจะช่วยให้ทั้งแรงงานและเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าไปได้ โดยไม่เกิดภาระด้านสาธารณสุขอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน” ณัฐนันท์ กล่าว

สธ.จ่อชง ครม. ขึ้นค่าบัตรสุขภาพแรงงานต่างด้าว

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2568 สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาบัตรสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยระบุว่า เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุขเพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานปลายทางที่ได้รับผลกระทบด้านงบประมาณ ดังนั้น จำเป็นต้องแจ้งให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการจัดเก็บค่าประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าวต่อไป

รมว.สธ. อธิบายว่า จะต้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว เช่น กำหนดอัตราตามระยะเวลาพำนักในไทย หากคำนวณเป็นรายวัน อาจอยู่ที่ วันละ 10 บาท หรือ 3,650 บาทต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับงบประมาณที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ใช้ต่อประชากรไทยที่ 3,800 บาทต่อปี

แนะขอสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ

สมศักดิ์ กล่าวว่า หากกำหนดค่าประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่ 3,650 บาทต่อคน จะต่ำกว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวของคนไทยประมาณ 150 บาท จึงมีแนวคิดที่จะขอสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านวัคซีนและมาตรการส่งเสริมสุขภาพเพื่อช่วยลดภาระงบประมาณ เช่น กองทุนเอ็มฟันด์ (M-Fund) ซึ่งเป็นโครงการประกันสุขภาพสำหรับผู้อพยพที่ดำเนินการในจังหวัดตาก

แรงงาน 4 ล้านคน อยู่นอกระบบประกันสังคมกว่า 2 ล้านคน

รมว.สธ. เปิดเผยว่า ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยมีประมาณ 4 ล้านคน โดยอยู่ในระบบประกันสังคม ราว 2 ล้านคน ที่เหลือเป็นกลุ่มรอขึ้นทะเบียนและกลุ่มที่ถือบัตร ท.99 อีกกว่าล้านคน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแรงงานเหล่านี้ โดยปีล่าสุดพบว่า มีค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บไม่ได้สูงถึง 2,050 ล้านบาท

“เรื่องนี้ต้องแก้ปัญหาร่วมกัน มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าต่างชาติเข้ามาแย่งสิทธิคนไทย แต่เราก็ต้องโทษตัวเองที่จัดเก็บไม่ครบ หากเราเป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ ก็ต้องทำให้มีมาตรฐานเดียวกัน ไม่ให้คนต่างด้าวเอาเปรียบคนไทย” รมว.สาธารณสุข กล่าว

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active