กลุ่มผู้รับบริการ แนะบัตรทองควร “เท่าเทียม เข้าถึงได้ และไม่ซับซ้อน” ขณะที่ กลุ่มผู้ให้บริการ กังวล “รักษาทุกที่” อาจขัดวัตถุประสงค์เดิมของระบบ “คนไข้อยากมา รพ. แต่ รพ.อยากให้ไปที่ปฐมภูมิ” ใบส่งตัวยังเป็นปัญหา ด้าน รมว.สธ. ย้ำใช้ยุทธศาสตร์ “ป้องกันก่อนป่วย” ชะลอค่าใช้จ่ายบัตรทอง มั่นใจปีหน้าค่าใช้จ่ายลด
วันนี้ (30 มิ.ย 2568) เวที Policy Forum ครั้งที่ 43 “Move On บัตรทอง ไปต่อ ไม่ติดหล่ม” จัดโดยไทยพีบีเอส และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ให้บริการจากรัฐ อปท. เอกชน และประชาชนผู้รับบริการ หวังขับเคลื่อนระบบบัตรทองให้ตอบโจทย์คนไทยยุคใหม่
เวทีรับฟังครั้งนี้พิเศษ เพราะ Thai PBS เปิดพื้นที่สาธารณะร่วมถ่ายทอดสด พร้อมเชิญหลากหลายเสียงสะท้อนจากผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ เครือข่ายผู้บริโภค เยาวชน นักวิชาการ และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งผู้รับบริการ และผู้ให้บริการจริง เพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายสู่การปฏิบัติ
บัตรทองควร “เท่าเทียม เข้าถึงได้ และไม่ซับซ้อน”
ธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากว่า 22 ปี กล่าวว่า “บัตรทอง” ทำให้เข้าถึงการรักษา ป้องกันการล้มละลาย และสร้างความเท่าเทียมในระบบสุขภาพ แต่ยังมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ เช่น
- ผู้ป่วยโรคหายาก (Rare Disease) ยังเข้าไม่ถึงยาและนวัตกรรม
- การจำกัดจำนวนผู้รับบริการในแต่ละวัน
- ความยุ่งยากในการส่งต่อ และการใช้ใบส่งตัว
- ช่องทางร้องเรียนและสื่อสารที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
“บางสิทธิประโยชน์ที่ประกาศใช้จริง กลับใช้ไม่ได้จริง เช่น OP Anywhere หรือการบอกว่าผู้ป่วยไม่ต้องจ่าย แต่กลับมีค่าใช้จ่ายแฝง โดยเฉพาะยานอกบัญชี” ธนพลธ์ กล่าว
เขาย้ำว่า หากระบบบริการมีคุณภาพและเข้าถึงได้จริง ผู้ป่วยจะสามารถมีชีวิตใกล้เคียงคนปกติ และไม่กลายเป็นภาระของระบบ
ด้าน สุริยา สมสีลา จากมูลนิธิเพื่อเด็กพิการ ระบุว่า ผู้พิการจำนวนมากเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น รถเข็น หรือแม้แต่แพมเพิร์ส ด้วยเหตุผลด้านงบประมาณและการจัดสรรที่ไม่ทั่วถึง “เราพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ แล้วเราจะเข้าถึงสิทธิอย่างไร ถ้าไม่มีใครจัดเตรียมให้เรา”
ขณะที่ สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ชี้ว่า ระบบบัตรทองจะเดินหน้าได้ ต้องอาศัย 3 ส่วนหลักร่วมกันคือ
- ความสนใจและเจตจำนงทางการเมือง
- การมีส่วนร่วมของประชาชน
- ความทุ่มเทของบุคลากรสาธารณสุข
เธอย้ำว่า ประชาชนไม่ควรถูกจำกัดด้วยคำว่า “บัตรทอง” หรือ “ประกันสังคม” แต่ต้องได้รับการดูแลโดยใช้ “บัตรประชาชนใบเดียว” เข้าถึงทุกกองทุนอย่างไร้รอยต่อ
ข้อเสนอเชิงระบบ ต้องเปลี่ยนทั้งกฎหมาย งบประมาณ และการออกแบบสิทธิ
สุภาพร สะท้อนว่า กองทุนสุขภาพต้องมีมาตรฐานเดียวกัน และควรบูรณาการให้ระบบทำงานร่วมกันได้ แม้ไม่จำเป็นต้องรวมเป็นกองทุนเดียว แต่อย่างน้อยต้อง “เท่าเทียม” และไม่ซ้ำซ้อน เช่น กรณี รักษาทุกที่ ที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับบริการนอกพื้นที่ขึ้นทะเบียนได้ เพราะระบบยังไม่ออนไลน์ถึงกัน
ตามกฎหมายมาตรา 5 ระบุว่า ทุกคนต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งคณะกรรมการระบบสุขภาพมีอำนาจกำหนดทิศทาง แต่ยังไม่มีการออกแบบให้รองรับการเปลี่ยนแปลงจริง
ขณะที่ สุธี ชุดชา ผู้อำนวยการเครือข่ายสนับสนุนการพัฒนาสังคม ชี้ว่า กลุ่มเยาวชนมีความเสี่ยงจากสังคมรอบด้าน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ยาเสพติด การรู้สิทธิด้านสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ “ถ้ารู้สิทธิ เราก็จะดูแลตัวเองมากขึ้น ถ้าเราสื่อสารให้เข้มแข็ง คนจะไม่เจ็บป่วยเร็ว”
เขาเสนอว่า สปสช. ควรเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร สร้างพื้นที่ที่เยาวชนและประชาชนทุกกลุ่มเข้าใจและเข้าถึงสิทธิของตนได้
สุชาดา สุวรรณเทศ ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า แม้จะมีสิทธิประโยชน์มากมาย แต่ผู้ป่วยจำนวนมากยังเข้าไม่ถึง ทั้งเพราะระบบที่ไม่ออนไลน์ และการแบ่งระดับบริการที่สร้างความเหลื่อมล้ำ
“ยิ่งคนที่ต้องฟอกไตทุกเดือน ยิ่งเจ็บปวดกับค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน” สุชาดา กล่าว
เธอยังเสนอให้ใช้งบประมาณด้านอื่นมาทำกิจกรรมรณรงค์ สื่อสาร สร้างความเข้าใจต่อสิทธิในระบบบัตรทองมากกว่าจะจำกัดไว้แค่บริการรักษา
“ป้องกันต้องมาก่อน” รพ.ไม่ใช่แค่ “ที่รักษา”
นพ.ปวิตร วณิชชานนท์ ผอ.รพ.ละงู จ.สตูล กล่าวว่า ระบบสุขภาพไม่ควรยึดติดกับฐาน “บริการรักษา” เท่านั้น แต่ควรมุ่งเน้นการป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟูอย่างจริงจัง พร้อมเสนอว่า เวลารัฐมนตรีประกาศนโยบายใหม่ สปสช. ควรศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ไม่ใช่ตอบรับทันทีโดยไม่ประเมินค่าใช้จ่าย หรือไม่ใช้ระบบจำลองผลกระทบ
“ทำไมไม่มีนวัตกรรมที่สร้างแรงจูงใจ เช่น คนออกกำลังกายได้ส่วนลดค่ารักษา หรือแคมเปญส่งเสริมสุขภาพที่เห็นผลในเชิงต้นทุน” นพ.ปวิตร กล่าว
“ต้นไม้กลวง” ระบบดูสวย แต่จะล้มถ้าไร้ความยั่งยืน
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี กล่าวว่า หากต้องการให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เดินหน้าอย่างยั่งยืน ไม่อ่อนแรงกลางทาง จำเป็นต้องสร้างความแข็งแรงจากภายใน ไม่ใช่เพียงให้ดูดีภายนอกเหมือน “ต้นไม้ใหญ่ที่กลวง”
“ระบบจะเดินหน้าได้ ต้องอาศัย 3 เสาหลัก คือ การเมือง ประชาชน และผู้ให้บริการ ซึ่งต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน การเมืองไม่ควรแทรกแซงลึกเกินไป เพราะบางครั้งคิดสั้นเกินไป เราทำกันเองได้ ถ้ามีเป้าหมายร่วมและเชื่อใจกัน” นพ.อนุกูล กล่าว
นพ.อนุกูล ระบุว่า สัดส่วนงบประมาณในระบบบัตรทองที่ใช้กับการรักษายังสูงเกินไป โดยประมาณ 70% ใช้กับการรักษา และเพียง 30% ใช้กับการส่งเสริมสุขภาพและงานอื่น ๆ จึงควรเร่งปรับสัดส่วนให้เน้นการป้องกันโรคมากขึ้น เพื่อช่วยลดภาระในระยะยาว
เขาอธิบายว่า ปัจจุบันมีรูปแบบการจ่ายเงิน 3 ระบบหลัก ได้แก่
- งบเหมารายจ่ายรายหัว เป็นปลายปิด ได้แก่ ผป.นอก ผป.ใน ที่รวมถึงผป.หนักต่างๆ ที่จำเป็นมาก ซึ่งไม่ควรเป็นปลายปิด
- จ่ายตามราคาที่กำหนด แต่ปลายปิด ถ้าทำมาก เงินไม่พอ จะถูกปรับลด
- จ่ายตามราคาที่กำหนด และปลายเปิด คือกลุ่มนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งขอเสนอให้บริหารแบบปลายปิด เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นน้อย
“งบปีนี้ดูเหมือนจะเพิ่ม เช่น เหมาจ่ายรายหัวเพิ่ม 9% งบกลุ่มเฉพาะเพิ่ม 22% แต่น่าสังเกตว่ากองทุนนวัตกรรมเพิ่มถึง 72% ขณะที่ผู้ป่วยในเพิ่มแค่ 3% เท่านั้น แถมจ่ายต่ำกว่าต้นทุน แถมยังเป็นงบปลายปิดอีก กองทุนต้องรับความเสี่ยงไว้เอง นี่คือปัญหาที่ต้องร่วมรับผิดชอบ”
เขาย้ำว่า การบริหารงบประมาณของระบบสุขภาพไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระของ สปสช. เพียงลำพัง เพราะอาจทำให้การจัดการช้าและขาดมุมมองของหน่วยบริการที่อยู่หน้างาน
ตั้งข้อสังเกต “รักษาทุกที่” ไม่ควรใช้กับทุกโรค
นพ.อนุกูล ยังกล่าวถึงนโยบาย รักษาทุกที่ ว่า ไม่ควรทำกับทุกโรคโดยเฉพาะโรคทั่วไปที่ไม่ยุ่งยาก ควรรักษาใกล้บ้านมากกว่าที่จะรักษาไปที่ไหนก็ได้ แต่โรคที่ยุ่งยาก ซับซ้อน มีรพ.ที่รักษาได้น้อย คิวอาจยาวสั้นต่างกัน เห็นด้วยที่จะรักษาที่ไหนก็ได้ แต่ต้องบริหารจัดการคิวให้ดีเพื่อผลดีต่อผู้ป่วย
ขณะเดียวกันยังวิพากษ์นโยบายบริการนอกเวลาราชการว่า แม้จะช่วยลดการรอคิว แต่ก็ บั่นทอนบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องทำงานหนักต่อเนื่องในขณะที่ค่าตอบแทนไม่สอดคล้องกับภาระงาน
ชี้ปัญหา “ข้อมูลไม่ตรง” ทำหน่วยบริการชวดงบ
นพ.อนุกูล บอกอีกว่า ปัจจุบันบทบาทของ สปสช. เริ่มกลายเป็น “ผู้ซื้อข้อมูล” แทนที่จะเป็น “ผู้ซื้อบริการ” ทำให้หน่วยบริการหลายแห่งไม่ได้รับเงิน เพราะข้อมูลที่คีย์ไว้ไม่ตรงกับฐานข้อมูลของ สปสช. ซึ่งเป็นปัญหาเชิงระบบที่ต้องเร่งแก้ไข
“ขอเสนอให้ลดจำนวนกองทุนย่อยลง เพื่อไม่ให้หน่วยบริการต้องเสียเวลาคีย์ข้อมูลซ้ำซ้อน และจัดระบบให้คล่องตัวมากกว่านี้” นพ.อนุกูล กล่าว
“ทุกคนต้องอยู่ได้” หากระบบจะยั่งยืน
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รอง ผอ.รพ.ศิริราช กล่าวว่าการจะทำให้ระบบบัตรทองเดินหน้าอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องเริ่มจากคำถามว่า “เราต้องการอะไรจากคำว่ายั่งยืน” ซึ่งคำตอบอยู่ที่ “ทุกฝ่ายต้องอยู่ในระบบเดียวกันอย่างยุติธรรมและสมดุล” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันยังห่างไกลจากหลักการนี้
เขาเสนอหลักการ 8 ข้อเพื่อทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีความยั่งยืน ดังนี้
1. นโยบายต้องสอดคล้องกับบริบทของสังคม
2. จัดสรรงบประมาณให้สอดรับกับสิทธิประโยชน์ ทั้งในด้าน ชนิดของบริการ และ ปริมาณ
3. หากประมาณการผิดพลาด จนส่งผลให้เกิดการขาดแคลนงบประมาณหรือบริการ สปสช. และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบร่วมกัน พร้อมมีมาตรการเยียวยาผู้ป่วย
4. ผู้ให้บริการต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย ไม่ใช่รับคำสั่งฝ่ายเดียว
5. การชดเชยค่ารักษาพยาบาลต้องหารือร่วมกันทุกฝ่าย
6. กรณีเรียกเก็บเงินเพิ่ม (Extra Billing) ต้องมีความโปร่งใส “อย่างน้อยแจ้งให้ชัดว่ารักษาแล้ว เก็บเงินจากใคร เก็บเพื่ออะไร”
7. ต้องมีกลไกจัดการความเสี่ยงร่วมกัน ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยบริการรับความเสี่ยงฝ่ายเดียว
8. ลงทุนในสิทธิประโยชน์เชิงป้องกันที่ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น การดูแลสุขภาพในครอบครัวและชุมชน
“ความเท่าเทียมต้องเกิดทั้งในส่วนที่ได้รับ และส่วนที่ต้อง ‘ให้’ กับระบบด้วย ไม่ใช่แค่เรียกร้องจากอีกฝั่ง” นพ.สนั่น กล่าว
ยกระดับสิทธิแบบมีชั้น แต่ทุกคนต้องได้ “ขั้นต่ำ” ที่เพียงพอ
ผศ.นพ.สนั่น ย้ำว่า ประเด็น “ความเท่าเทียมของกองทุนสุขภาพ” เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องไม่ใช่การลากให้ทุกกองทุนอยู่ในระดับต่ำเท่ากัน เพราะอาจกลายเป็นการลดคุณภาพโดยรวม แต่ควรออกแบบระบบที่มี “ขั้นสิทธิ” อย่างเป็นระบบและยุติธรรม เช่น
• ชั้น 1 สิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับเท่าเทียม ตามกรอบบัญชียาและบริการแห่งชาติ
• ชั้น 2 หากกองทุนใดต้องการสิทธิเพิ่มขึ้น ต้องจัดหางบประมาณเพิ่มเอง
• ชั้น 3 หากต้องการบริการสูงสุด ต้องสมทบเงินเพิ่มในระบบ
“คำถามคือ เราจะยกระดับจากข้างล่างขึ้น หรือดึงข้างบนลง? วิธีไหนคุ้มค่า และเป็นธรรมกับประชาชนมากที่สุด?” นพ.สนั่น กล่าว
ผศ.นพ.สนั่น บอกอีกว่า ปัญหาสำคัญของระบบในตอนนี้คือ “กลไกควบคุมต้นทุนที่ไม่ชัดเจน” โดยเฉพาะกรณีการจำกัด “จำนวนครั้ง” ของบริการรักษา ซึ่งทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และทำให้โรงพยาบาลถูกมองว่าเห็นแก่เงิน
เขาเสนอว่า ควรเปลี่ยนแนวคิดจาก “จำกัดจำนวนครั้ง” ไปสู่ “จำกัดตามภาระงานจริง” เช่น ตรวจโรคตามระดับอาการ ไม่ใช่จำกัดโดยตัวเลขแห้ง ๆ ซึ่งจะสะท้อนความจำเป็นทางการแพทย์มากกว่า
นพ.สนั่นยกหยิบยก ปัญหา Extra Billing หรือการที่ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเพิ่มจากสิทธิที่มี ซึ่งในบางกรณีกลายเป็น “No Billing” แต่ผู้ป่วยก็ยังไม่ได้รับบริการเพราะไม่มีใครจ่ายแทน
“บางคนถามว่าทำไมรักษาแล้วต้องจ่ายเพิ่ม แต่ความจริงคือ ไม่มีใครอยากเรียกเก็บเงินเพิ่ม ถ้าระบบมันมีเงินพอและคุ้มครองคนได้จริง” นพ.สนั่น กล่าว
งบมีจำกัด แต่ความต้องการไร้ขอบเขต
นพ.เกรียงไกร ตั้งจิตมณีศักดา รองผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากจังหวัดอื่น โดยต้องบริหารจัดการระบบบริการสุขภาพร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย กองทัพ กรมการแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลของกรุงเทพมหานครเอง “ระบบของ กทม. เป็นแบบพิเศษ ต้องพึ่งพาความร่วมมือข้ามหน่วยงาน”
กังวล “รักษาทุกที่” อาจขัดวัตถุประสงค์เดิมของระบบ
นพ.เกรียงไกรตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดการ “รักษาทุกที่” หากไม่มีระบบควบคุมที่ดี อาจทำให้ บทบาทของหน่วยบริการปฐมภูมิถูกลดความสำคัญลง และภาระจะตกไปอยู่กับโรงพยาบาลใหญ่
“คุณจัดระบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิไว้ แต่ถ้ายาและบริการที่จัดมาไม่ได้ถูกใช้ เพราะผู้ป่วยไหลไปใช้บริการที่อื่น มันก็สูญเปล่า และถ้าควบคุมไม่ได้ ปฐมภูมิก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ไปรวมอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐและโรงเรียนแพทย์” นพ.เกรียงไกร กล่าว
ปัญหาใบส่งตัว และแรงกดดันจากประชาชน
เขายังกล่าวถึงปัญหาเรื่อง การส่งต่อผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ซึ่งจริง ๆ แล้วควรได้รับการดูแลในระดับปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. หรือคลินิกใกล้บ้าน แต่ผู้ป่วยกลับต้องการไปโรงพยาบาลใหญ่ เพราะเข้าใจว่าจะได้รับการดูแลที่ดีกว่า
รพ.ก็ไม่อยากรับเคส NCDs ที่ควรดูแลที่ปฐมภูมิ แต่คนไข้ก็ยังอยากมา สปสช.จึงควรพิจารณาให้รอบคอบว่า เคสไหนควร refer เคสไหนไม่ควร ต้องมีมาตรการจัดการ นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงแรงกดดันจากประชาชน ที่เมื่อไม่พอใจการบริการ มักร้องเรียนผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น Traffy Fondue
“ความเท่าเทียม” ต้องมาพร้อมงบประมาณ
นพ.เกรียงไกรเน้นว่า ตนเห็นด้วยกับหลักการว่า “ทุกคนควรได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานโดยไม่ต้องร้องขอ” เพราะสุขภาพเป็นสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์ แต่ก็ต้องยอมรับข้อจำกัดว่า ความเท่าเทียมต้องสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่จริง
“ถ้าเราจะทำให้เหมือนที่อื่น ต้องดูว่างบมีแค่ไหน คนที่ควรได้รับความช่วยเหลือ ต้องได้จริง ส่วนคนที่สามารถดูแลตัวเองได้หรือใช้บริการที่อื่นได้ ก็ควรปล่อยให้เขาเลือกได้เอง” นพ.เกรียงไกร กล่าว
เขาทิ้งท้ายว่า หากประเทศไทยต้องการพัฒนาระบบสุขภาพให้เทียบเท่าระดับสากล สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาทรัพยากรของตนเองให้เพียงพอและมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำว่า Health Link หรือระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยระหว่างหน่วยบริการต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยเสริมการเข้าถึงบริการที่เหมาะสม
“คนไข้อยากมา รพ. แต่ รพ.อยากให้ไปที่ปฐมภูมิ” ใบส่งตัวยังเป็นปัญหา
ระบบส่งต่อยังเป็นจุดอ่อนที่หลายฝ่ายชี้ตรงกันว่า “ต้องแก้” เช่น ผู้ป่วยโรคไม่รุนแรงมักอยากไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ แม้จะดูแลได้ที่คลินิกชุมชนอบอุ่น ส่งผลให้หน่วยบริการปฐมภูมิ “อยู่ไม่ได้” เพราะคนไข้ไม่ไป
นพ.พินัย ล้วนเลิศ เลขาธิการสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น กล่าวว่า หากระบบบัตรทองยังไม่สามารถจัดการโรคเรื้อรัง (NCDs) อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบทั้งหมดอาจเผชิญความล้มเหลวในที่สุด โดยเฉพาะโรคไต ที่เป็นผลสืบเนื่องจากเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อก่อนค่าใช้จ่ายฟอกไตต่อรายอยู่ที่ประมาณ 37,000 บาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 80,000 บาทต่อปี และตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานก็เพิ่มจาก 50% เป็น 90% ส่วนความดันเพิ่มจาก 20% เป็น 24% ถ้าไม่ควบคุมต้นทาง ยังไงปลายทางก็พัง”
เขาย้ำว่า แนวทางรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในปัจจุบันยังวนอยู่กับการ “ให้ยาต่อเนื่อง” ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วย การรักษาในโรงพยาบาลจะกลายเป็นการซ้ำเติมภาระระบบสุขภาพ
“ถ้าผู้ป่วย NCDs ต้องไปโรงพยาบาลทุกครั้ง ระบบก็รับไม่ไหว และต้นทุนก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การควบคุมโรคเรื้อรังควรเกิดที่ปฐมภูมิ ถ้าคลินิกชุมชนทำงานได้ ระบบก็ไปต่อได้” นพ.พินัย กล่าว
นพ.พินัยเปิดเผยว่า ขณะนี้มีคลินิกชุมชนอบอุ่น 31 แห่งยังไม่ได้รับเงินเลย และอีก 7 แห่งไม่ได้รับเงินมานานถึง 6 เดือน สาเหตุสำคัญคือ ปัญหาเรื่องระบบใบส่งตัว และความล่าช้าในการจัดสรรงบประมาณจาก สปสช.
แม้จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ นพ.พินัยเสนอว่า ทุกฝ่ายควรเปิดเวทีพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด
รักษาได้ทุกที่ สื่อสารไม่ตรงปก
ภญ.กรรณิญาพร บูชา เภสัชกรชุมชน บ้านยาประทายเภสัช จ.นครราชสีมาสะท้อนเสียงจากแนวหน้าในระบบปฐมภูมิว่า ร้านยาในชุมชนมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชน และเห็นด้วยกับแนวทาง “สร้างนำซ่อม” ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากกว่าการรอรักษาเมื่อป่วย
“สิ่งสำคัญคือ เราต้องย้อนกลับมาดูว่า เป้าหมายของระบบบัตรทองคืออะไร? เราทำเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานได้จริงหรือไม่? ถ้าทุกฝ่ายเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน และสื่อสารให้ตรงกัน ปัญหาหลายอย่างจะไม่เกิดขึ้น”
เธอยกตัวอย่างปัญหา “รักษาได้ทุกที่” ที่ยังไม่มีความเข้าใจตรงกันในทางปฏิบัติ กลายเป็นภาระของผู้ให้บริการและสร้างความสับสนให้ประชาชนในพื้นที่
“วันนี้ สิ่งที่ชัดเจนคือการสื่อสารไม่ตรงกัน มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริการในพื้นที่ ประชาชนสับสน ผู้ให้บริการเองก็ไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรได้แค่ไหน แล้วทำไมยังไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง?”
ภญ.กรรณิญาพรเสนอว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรเปิดใจพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถวางระบบการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องกับทรัพยากรที่มี
รพ.สต. คือแนวหน้า แต่ต้องไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สิงห์แก้ว กันธิยะ ผอ.รพ.สต.บ้านทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ เปรียบหน่วยบริการปฐมภูมิว่าเป็น “ฐานพีระมิด” ของระบบสุขภาพไทย แต่ยังมีปัญหาทั้งเรื่องบุคลากรไม่เพียงพอ และงานเอกสารเคลมที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้การบริหารจัดการในพื้นที่ล่าช้า
“ผู้คิดไม่ได้ทำ ผู้ทำไม่ได้คิด จึงเกิดช่องว่างระหว่างนโยบายกับหน้างาน” สิงห์แก้ว กล่าว
เขาเสนอให้ปรับวิธีการจ่ายค่ารักษาให้เหมาะสมกับระดับของโรค และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนรู้ว่าสิทธิของเขาคืออะไร เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง
รมว.สธ. ย้ำใช้ยุทธศาสตร์ “ป้องกันก่อนป่วย”
สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลัง เวที Policy Forum ครั้งที่ 43 “Move On บัตรทอง ไปต่อ ไม่ติดหล่ม” โดยบอกว่า ข้อเสนอของผู้ให้บริการและผู้รับบริการที่แสดงความกังวลเรื่องงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงฯ รับฟังและมีแนวทางตอบสนองอย่างเป็นระบบ
สมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน สปสช. มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความกังวลเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอยังคงเป็นประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางลดภาระค่าใช้จ่าย ด้วยการผลักดันระบบป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต ซึ่งมักมีสาเหตุร่วมกัน หากสามารถหยุดยั้งหรือควบคุมโรคเหล่านี้ได้ตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ลดความแออัด และลดความจำเป็นในการใช้บุคลากรเฉพาะทางจำนวนมาก
“เรามีแพทย์เฉพาะทางจำกัด ถ้าผู้ป่วย NCD มากขึ้น เราจะต้องใช้แพทย์เฉพาะทางถึง 7-8 คนต่อราย แต่หากเราป้องกันได้ตั้งแต่ต้น น้ำหนักงบประมาณจะไม่ต้องไปอยู่ที่การรักษา” รมว.สาธารณสุขกล่าว
สมศักดิ์ ระบุด้วยว่า กระทรวงฯ ได้เริ่มดำเนินการระบบคัดกรองและป้องกันโรค NCD แล้วตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้งบประมาณยังจำกัด แต่ผลเบื้องต้นเริ่มชัดเจน โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เกือบพันล้านบาท และในบางจังหวัดเพิ่งเริ่มต้นดำเนินงาน คาดว่าหากขยายผลเต็มรูปแบบทั่วประเทศ จะทำให้ค่าใช้จ่ายของระบบลดลงอย่างชัดเจน
“ปีหน้า ผมเชื่อว่าค่าใช้จ่ายจะลดลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้นแบบทุกปี เพราะระบบป้องกันเริ่มเห็นผลแล้ว ขอเวลา 2 ปี หากเดินหน้าจริงจัง ตัวเลขจะสะท้อนชัดเจนกว่านี้” สมศักดิ์กล่าว
สำหรับข้อเสนอจากเวทีรับฟังในครั้งนี้ มีประเด็นหนึ่งที่เสนอให้ “ทบทวนสิทธิประโยชน์ที่มีความจำเป็นน้อย” เพื่อโยกงบประมาณไปสนับสนุนการดูแลที่จำเป็นกว่า เช่น การดูแลผู้ป่วยใน นายสมศักดิ์แสดงความเห็นสนับสนุน โดยระบุว่า การทบทวนสิทธิที่ไม่จำเป็นเป็นเรื่องเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสังคม และต้องให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อมกัน
ในส่วนของประเด็นการใช้สิทธิ “30 บาทรักษาทุกที่” สมศักดิ์ยอมรับว่า การสื่อสารยังเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ผู้ป่วยบางรายเข้าใจคลาดเคลื่อน และบางโรงพยาบาลใหญ่ยังไม่พร้อมรับผู้ป่วยจากระบบนี้ หากไม่มีโลโก้แสดงความร่วมมือ “30 บาทรักษาทุกที่” จึงอยากให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลก่อนเข้ารับบริการ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา