ย้ำ สถานการณ์ยาเสพติดในไทยทวีความรุนแรง 4 ใน 10 เด็กนอกระบบ เคยใช้ยาเสพติด วงพูดคุย กสศ. เรียกร้อง รัฐหยุดตีตรา แก้ปัญหาเด็กออกกลางคัน มองเชิงระบบ มากกว่าปราบปราม สร้างพื้นที่ปลอดภัย ไม่ให้เด็กเสี่ยงซ้ำ
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 68 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “เมื่อยาเสพติดห้อมล้อมสังคม : ชีวิตและความเปราะบางที่เด็กและเยาวชนต้องเผชิญ” เพื่อนำเสนอภาพรวมสถานการณ์ยาเสพติดในสังคมไทยที่กำลังทวีความรุนแรง เด็กและเยาวชนจำนวนมากกำลังเผชิญความเปราะบางและความเสี่ยงสูง โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาของปัจเจกบุคคล แต่เป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อร่วมคิด ร่วมมอง และร่วมกันหาทางออกอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ยังได้ทบทวนเส้นทางนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ปี 2512 ที่รัฐบาลจัดตั้ง มูลนิธิโครงการหลวง เพื่อแก้ปัญหาการปลูกฝิ่นในพื้นที่สูง ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการแก้ไขเชิงโครงสร้าง ต่อมาในปี 2516 เฮโรอีน เริ่มแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ส่งผลกระทบทั้งผู้เสพ ผู้สูงอายุ และแรงงาน และในปี 2535 ประเทศไทยเริ่มเผชิญการระบาดรุนแรงของ ยาบ้า โดยเฉพาะในกลุ่มวัยแรงงานและเยาวชน ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอาชญากรรมและความรุนแรงในสังคม





ผู้เข้าร่วมประชุมสะท้อนข้อมูลที่น่าตกใจว่า ยาเสพติดหลายชนิดยังคงมีการใช้ในประเทศไทย แม้แต่ ฝิ่น ที่หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะหมดไปแล้ว ก็ยังพบการใช้ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขาดโอกาสและเข้าถึงการช่วยเหลือได้ยาก จากอดีตถึงปัจจุบัน ปัญหายาเสพติดในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามยุคสมัย ตั้งแต่ฝิ่น เฮโรอีน กาว สารระเหย จนถึงยาบ้า แม้จะมีการออกกฎหมายและจัดตั้งหน่วยงานเพื่อรับมือ แต่ปัญหายาเสพติด ยังคงอยู่ต่อเนื่องมากว่า 56 ปี แสดงให้เห็นว่าวิธีแก้ไขที่เน้นการปราบปรามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ที่ประชุมจึงเสนอให้หันมาแก้ไขเชิงโครงสร้างมากขึ้น โดยเน้นการสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ครอบครัวที่เข้มแข็ง และการสร้างโอกาสทางสังคมให้เยาวชน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผลักเข้าสู่วงจรยาเสพติด พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันวางแนวทางที่เป็นรูปธรรม และไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวซ้ำเดิมดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบ
เยาวชนต่ำกว่า 18 ปี ทั่วโลก แนวโน้มใช้ยาเสพติดเพิ่ม
นพ.กนก อุตวิชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา เปิดเผยรายงาน World Drug Report 2025 ว่า สถานการณ์การใช้ยาเสพติดทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2023 มีผู้ใช้ยาเสพติดประมาณ 316 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของจำนวนประชากรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความท้าทายในการควบคุมปัญหานี้ทั่วโลก

รายงานระบุว่า โคเคน มีการผลิตและการยึดจับมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 ขณะที่จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นจาก 17 ล้านคนในปี 2013 เป็น 25 ล้านคน ในปี 2023 ส่วน ยาเสพติดสังเคราะห์ เช่น ยาบ้า (methamphetamine) และยากลุ่มแอมเฟตามีน (ATS) ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในบางพื้นที่เริ่มพบสารสังเคราะห์ชนิดใหม่ เช่น ไนทาซีน (Nitazenes) ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงและเป็นอันตรายสูง
นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการค้ายาเสพติดกับ ความรุนแรง ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศต้นทางและประเทศที่ใช้เป็นเส้นทางขนส่ง ขณะเดียวกัน เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี มีแนวโน้มใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 15-16 ปี ที่มีอัตราการใช้ยาเสพติดเกือบทุกชนิดเทียบเท่าหรือสูงกว่าผู้ใหญ่วัย 15-64 ปี และส่วนใหญ่เป็นการใช้ หลายชนิดร่วมกัน (Polysubstance Use) เช่น ยาบ้า กัญชา และกระท่อม
ขณะที่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ยังคงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ ยาบ้า ร่วมกับอเมริกาเหนือ โดยในปี 2023 มีการตรวจยึดยาบ้าจากภูมิภาคนี้คิดเป็น 80% ของการยึดยาบ้าทั่วโลก ศูนย์กลางการผลิตยังคงกระจุกตัวอยู่ในบางประเทศ เช่น เมียนมา ขณะที่ตลาดผู้ใช้ ยาอี (Ecstasy) ในภูมิภาคนี้เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกและยุโรปตะวันตก
สถานการณ์การจับกุมและยึดยาเสพติดขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้ราคายาลดลง และหาซื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มีอายุเฉลี่ยเริ่มใช้ยา ตั้งแต่ 15 ปี ทำให้เสี่ยงต่อการติดยาเสพติดชนิดรุนแรงในอนาคต
4 ใน 10 ของนักเรียนนอกระบบ ใช้ยาเสพติดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ขณะเดียวกันปัญหาการออกกลางคันของนักเรียนยังเป็นปัจจัยซ้ำเติม โดยพบว่า 4 ใน 10 ของนักเรียนนอกระบบ มีประสบการณ์ใช้ยาเสพติดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
รายงานยังพบความสัมพันธ์ของ ทฤษฎี Gateway Drug ที่เริ่มจากสารเสพติดถูกกฎหมาย เช่น นิโคติน, แอลกอฮอล์ และกัญชา ก่อนพัฒนาไปสู่การใช้ยาเสพติดผิดกฎหมาย เช่น ATS และการใช้หลายชนิดร่วมกัน ซึ่งมักพบในกลุ่มเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่ออกกลางคันก่อนจบระดับมัธยมต้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดยาเสพติดในระยะยาว
นพ.กนก ย้ำว่า การป้องกันปัญหายาเสพติดต้องเริ่มจากการป้องกันการออกกลางคัน เช่น การลดการ Bully ในโรงเรียน การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่อบอุ่นและปลอดภัย เพื่อปิดกั้นปัจจัยเสี่ยงที่ผลักดันให้เยาวชนเข้าสู่วงจรยาเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย
จับได้มาก ไม่เท่ากับ แก้ปัญหาสำเร็จ
นเรศ สงเคราะห์สุข รองหัวหน้าโครงการหนุนเสริมทางวิชาการและการจัดการความรู้สำหรับการพัฒนาเด็กนอกระบบการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ปัญหาสารเสพติดเชิงโครงสร้าง ในประเทศไทยพบว่า มีผู้ใช้สารเสพติดประมาณ 3.5 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้ใช้ยาบ้า 1.6 ล้านคน กัญชา 1.5 ล้านคน และสารเสพติดประเภทอื่น ๆ (ยกเว้นบุหรี่ไฟฟ้าและเหล้า) อีกจำนวนหนึ่ง ผู้ใช้เหล่านี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ป่วยจิตเวชติดยาเสพติด 10% (ประมาณ 3.5 แสนคน) กลุ่มเสี่ยงสูง 25% (ประมาณ 8.75 แสนคน) และกลุ่มเสี่ยงกลาง-ต่ำ 65% (ประมาณ 2.2 ล้านคน)
“ไม่รู้ว่าอนาคตคืออะไร ใช้ยาตั้งแต่ 10 ขวบ แต่ต้องทำงานในไร่ข้าวโพด วันละ 300 บาท ต้องจ่ายค่ายา 100 บาท ชีวิตมันเดาไม่ได้เลยว่าอนาคตจะพาไปไหน และการเข้าสู่เครือข่ายอาชญากรรมก็จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน”
นเรศ สงเคราะห์สุข
ทั้งนี้ยังพบว่า มีเยาวชน ราว 1.4 ล้านคน ที่อยู่นอกระบบการศึกษาและการทำงาน โดยในจำนวนนี้มีเยาวชนอายุระหว่าง 13–24 ปี ประมาณ 5 แสนคน แบ่งย่อยออกเป็นกลุ่มที่มีอาการจิตเวช 50,000 คน กลุ่มเสี่ยงสูง 125,000 คน และกลุ่มเสี่ยงกลาง-ต่ำอีก 325,000 คน เมื่อพิจารณาว่า ใครคือผู้ใช้และใช้ยาชนิดใดบ้าง พบว่า กลุ่มแรงงานรับจ้างเป็นสัดส่วนมากที่สุดถึง 55% ซึ่งส่วนมาก เป็นกลุ่มเปราะบาง รองลงมาคือ เด็กและเยาวชน 40% กลุ่มที่เข้าสู่กระบวนการลดอันตรายในการใช้ยา (harm reduction) ประมาณ 2% และกลุ่มนักเที่ยวปาร์ตี้ 3% นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างสารกลุ่ม NPS ที่เข้าถึงง่าย ราคาถูก และมีวิธีการใช้ที่หลากหลายซึ่งเสี่ยงอันตรายสูง
สาเหตุหรือปัจจัยเชิงระบบและโครงสร้างที่ทำให้เยาวชนและแรงงานเข้าสู่ปัญหายาเสพติดมีหลายประเด็น
- ประการแรก คือ การทำงานหนักเป็นเวลานานแต่ได้รับค่าตอบแทนต่ำ สะท้อนโครงสร้างระบบการจ้างงานที่เอาเปรียบและไม่คุ้มครองแรงงานนอกระบบ
- ประการที่สอง คือ การเข้าไปอยู่ในกลุ่มก๊วนและการมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น เช่น การซิ่งรถ เล่นเกม การพนัน ประกอบกับการถูกตีตรา (stigma) และการกลั่นแกล้ง (bully) ที่ฝังอยู่ในชุมชน โรงเรียน และสื่อ ผ่านการสร้างบรรทัดฐานศีลธรรมแบบคับแคบ
อีกประเด็น คือ เยาวชนจำนวนมากไม่มีเป้าหมายและความหวังในชีวิต เนื่องจากระบบการศึกษาที่ไม่หลุดพ้นจากความเหลื่อมล้ำและไม่สร้างความปลอดภัยหรือความเป็นธรรมให้พวกเขา ขาดโอกาสและพื้นที่ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัวจำนวนมากก็เผชิญภาวะยากจนและความรุนแรง รวมทั้งระบบการศึกษาที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียน

เมื่อสังคมมองปัญหายาเสพติดก็ยังคงติดอยู่กับการมองแบบศีลธรรม และมุ่งปราบปรามมากกว่าการหาวิธีแก้ไขเชิงระบบ วิธีคิดและวิธีการแก้ปัญหาจึงกลายเป็นปัญหาในตัวเอง และทำให้มรดกของสังคมยังคงส่งต่อปัญหานี้จากรุ่นสู่รุ่น การแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทยที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน เนื่องจาก “ใช้วิธีที่ผิดในการแก้ปัญหา” ทำให้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถขจัดปัญหาเดิมได้ แต่ยังสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าและรุนแรงกว่าเดิม ซึ่งสามารถสรุปสาเหตุสำคัญได้ดังนี้
- ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แนวทางที่เน้นการใช้ความรุนแรง เช่น กวาดล้าง และปราบปรามอย่างเข้มข้น ส่งผลให้เกิด “ตัวปัญหาของสารเสพติด” ใหม่ เช่น การสร้างเครือข่ายยาเสพติดที่ซับซ้อนและลึกมากขึ้น ตลอดจนเกิดคอรัปชันในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย
- ยึดติดกับตัวเลขการจับกุม วิธีคิดแบบ “จับมาก = สำเร็จมาก” ทำให้มาตรการแก้ปัญหาถูกวัดผลจากจำนวนผู้ถูกจับ มากกว่าการแก้ไขสาเหตุรากฐานของปัญหา ส่งผลให้ภาพรวมของสถานการณ์ไม่ดีขึ้น
- มาตรการป้องกันที่ไม่คุ้มค่าแม้จะมีการใช้งบประมาณจำนวนมาก เช่น ปีงบประมาณ 2566 ใช้เงินรวม 4,187.5 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ป้องกัน 1,405 ล้านบาท บำบัด 1,150 ล้านบาท ปราบปราม 1,600 ล้านบาท แต่ผลลัพธ์กลับ ได้ผลน้อยมาก โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีลักษณะเพียงแค่เป็น กิจกรรมหรืออีเวนต์ เช่น แข่งขันรณรงค์ เสื้อลวดลายต้านยาเสพติด หรือแคมเปญสั้น ๆ ซึ่งไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้ และงบประมาณส่วนใหญ่ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ในมือของกองทัพ
- ปรากฏการณ์ Balloon Effect เมื่อมีการกดดันหรือปราบปรามในพื้นที่หนึ่ง ปัญหาก็จะย้ายไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง เปรียบเสมือนการบีบลูกโป่ง ทำให้ปัญหาไม่หมดไปแต่เพียงเคลื่อนย้ายที่ทางแทน
- การมองปัญหาผ่านอคติและอารมณ์ การแก้ปัญหามักขับเคลื่อนด้วย อดีต มายาคติ และอารมณ์ มากกว่าการใช้ข้อมูลและความจริง เช่น การมองผู้เสพเป็นอาชญากรหรือคนไม่ดี ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานโยบายเชิงป้องกันและฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ
“เราแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะยังแก้ด้วยความรุนแรง คิดว่าจับให้เยอะคือความสำเร็จ ทั้งที่จริงแล้วตัวเลขการจับกุมไม่ได้สะท้อนอะไรเลย เรากำลังแก้ปัญหาบน มายาคติ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และแม้จะรู้ว่าวิธีนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังทำซ้ำอยู่ เพราะ สังคมไทยไม่มีใครต้องรับผิดชอบเมื่อการแก้ปัญหาล้มเหลว“
นเรศ สงเคราะห์สุข
แนะเปลี่ยนวิธีทำงาน สร้างผลลัพธ์ที่มากกว่าการจับกุม
นเรศ ยังเสนอว่าการแก้ปัญหายาเสพติดของไทยจำเป็นต้อง เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงาน เพราะหากยังใช้แนวทางเดิม ๆ เช่น การปราบปรามอย่างรุนแรงหรือการวัดผลจากจำนวนการจับกุม จะได้เพียงผลลัพธ์ซ้ำเดิมโดยไม่ทำให้ปัญหาลดลงอย่างแท้จริง แนวทางใหม่ควรมองปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำและสภาพสังคมที่ผลักคนให้เข้าสู่วงจรยาเสพติด โดยยึดหลัก “ไม่ใช้ความรุนแรง” หรือ Non-Violence เลือกวิธีที่สร้างสรรค์และเป็นมิตร รวมถึงมุ่งเน้น การลดผลกระทบ (Reduce Harm) โดยเฉพาะผลกระทบต่อครอบครัวและชุมชน มากกว่าพยายามทำให้ยาเสพติดหมดไปทั้งหมด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยากจะเป็นจริง
จึงเสนอให้ ทำงานแบบนับรวมทุกคน (Inclusive Working Approach) มองว่า ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน พร้อมสร้างระบบดูแลและป้องกันที่ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งชีวภาพ จิตใจ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาแบบองค์รวม นอกจากนี้ยังต้องเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับ บริบทของแต่ละพื้นที่ (Context-Based Approach) เพราะปัญหายาเสพติดในแต่ละชุมชนมีปัจจัยแตกต่างกัน สำหรับแนวทางปฏิบัติมีข้อเสนอ 5 ข้อสำคัญ ได้แก่
- สื่อสารกับสังคมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดอคติและการตีตราผู้ใช้สารเสพติด
- นำแผน “มติสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่ 10 ปี 2560” มาขับเคลื่อนงานป้องกันและแก้ไขปัญหา
- ผลักดัน พื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่สร้างสรรค์ ให้เยาวชนและประชาชนเข้าถึงได้
- พัฒนามาตรการป้องกันที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
- ปรับระบบบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์อำนาจของรัฐ สู่การกระจายอำนาจ ให้ชุมชนมีสิทธิและทรัพยากรในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง