อย่าด่วนตัดสิน! ปั้น ‘คนพิการ’ เป็นนักฟัง แก้ปัญหา ‘สุขภาพจิต’ ชี้ เจ็บป่วยใจ ใคร ๆ ก็ช่วยเยียวยาได้

‘สติแอป’ วอน สังคมบางส่วนลบภาพจำคนคนพิการไร้ศักยภาพ ย้ำ จ้างงานคนพิการอย่างมีคุณค่า ผ่านการเพิ่มพูนทักษะการรับฟัง ช่วยเยียวยาใจเบื้องต้น โดยหน่วยงานสุขภาพจิต เผย ผู้รับบริการประเมินความพึงพอใจในระดับสูงมาก เชื่อ ช่วยเปลี่ยนมุมคิด จากภาวะพึ่งพิง เป็นคนที่พึ่งพาได้

“เตี้ยอุ้มค่อม”

“ปั้นAI รับฟังควรจะดีกว่า”

“คิดดีแล้วหรือที่จะใช้คนพิการ”

เหล่านี้คือความเห็นส่วนหนึ่งในโลกออนไลน์ หลังปรากฏข่าว กรมสุขภาพจิต จับมือภาคประชาสังคม เปิดตัวโครงการ นักรับฟัง พลังพิเศษ (Gifted Listener) เดินหน้าปั้นคนพิการ 500 คน ให้เป็นนักรับฟัง และปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้น พร้อมสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพให้กับคนพิการ

โดยความเห็นบางส่วน สะท้อนถึงความเป็นห่วงคนพิการ ที่ต้องรับฟังเรื่องทุกข์ใจของผู้เข้ารับบริการ หรือกังวลในศักยภาพการให้บริการด้านสุขภาพใจของคนพิการ ดังนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจต่อกรณีนี้ให้มากขึ้น The Active พูดคุยกับหนึ่งในคนพิการที่เป็นนักรับฟัง และ สติแอป (SATI APP) หนึ่งในภาคีเครือข่าย ผู้ร่วมออกแบบหลักสูตร นักปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้น (Mind First Aid) ว่าพวกเขามีมุมมองต่อกระแสที่เกิดขึ้นอย่างไร

เปลี่ยนภาวะพึ่งพิง เป็นคนที่พึ่งพาได้

“การทำงานนี้ทำให้เราใช้ศักยภาพในตัวเองอย่างเต็มที่ ในฐานะผู้ให้บริการโดยไม่มีคำว่าพิการทางร่างกายมาเป็นข้อจำกัดในการทำงาน”

มายด์ – ฐิติพร ประวัติศรีชัย ที่ปรึกษาคนพิการในโครงการ Mind First Aid

ฐิติพร ประวัติศรีชัย หรือ มายด์ คนพิการทางการเคลื่อนไหว พูดจากความรู้สึก และประสบการณ์ในการเป็นนักรับฟังมานานกว่า 2 ปี เธอเล่าว่า ตัวเองพิการจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานบริษัทด้านเอไอเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต จึงต่อยอดความรู้ด้วยการเรียนเพิ่มเติมในหลักสูตร Mind First Aid บนแพลตฟอร์มของ SATI APP โดยเริ่มต้นจากการเป็นอาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ประจำที่มีเงินเดือน และปัจจุบันในตำแหน่ง Head of Community, Learning and Skill Development at Vulcan Coalition และที่ปรึกษาคนพิการในโครงการ Mind First Aid มีคนพิการที่เป็นนักรับฟังในความดูแล 10 คน และคนพิการในโครงการอีกประมาณ 200 คนที่ผ่านการอบรมแล้ว

ตามขั้นตอนประชาชนทุกคน รวมถึงคนพิการที่สนใจเป็นนักรับฟัง จะต้องผ่านหลักสูตร Mind First Aid บนแพลตฟอร์มของ SATI APP ที่ร่วมออกแบบโดยกรมสุขภาพจิต และภาคประชาสังคม มีการทำแบบทดสอบ และทดลองเป็นอาสาสมัครในการรับสายคนที่ โทร.เข้ามาพูดคุยระบายเรื่องต่าง ๆ แต่จะไม่ได้ทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาแบบเดียวกับนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองภายหลังให้บริการได้

ส่วนความเห็นที่บอกว่า คนพิการไม่ควรทำหน้าที่เป็นนักรับฟัง หรือเกี่ยวข้องกับงานด้านสุขภาพจิตนั้น สำหรับ มายด์ มองว่า ส่วนหนึ่งมาจากสังคมที่ยังมีภาพจำต่อคนพิการว่าเป็นคนไร้ศักยภาพ หรือทำงานได้เพียงอาชีพที่จัดไว้ให้คนพิการเท่านั้น

แต่ตลอดระยะเวลา  2 ปีที่ผ่านมา มายด์ และอาสาสมัคร 10 คน พิสูจน์ให้เห็นว่า ความพิการไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอเพียงสังคมปรับมุมมองที่มีต่อคนพิการให้เท่าเทียมมากขึ้น

“สิ่งที่มายด์เห็นความแตกต่างเลยหลังจากที่ตัวเองเปลี่ยนสถานะเป็นคนพิการ คือ สังคมมีภาพจำว่าความสามารถของเราสูญเสียไปเลยไม่ว่าอะไรที่เราเคยทำได้ พอมีพื้นที่ตรงนี้ในการให้คนพิการสามารถเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับมันดีมาก ๆ แล้วคนพิการสามารถทำงานได้จริงค่ะโดยที่ไม่ถูกตัดสินจากผู้รับบริการด้วย

มายด์ – ฐิติพร ประวัติศรีชัย

ขณะที่รูปแบบในการทำงาน มายด์ อธิบายในส่วนของเธอว่าจะแบ่งหน้าที่รับสาย แบ่งออกเป็น 3 กะ ตั้งแต่ 10.00-21.00 น. โดยคนพิการสามารถทำงานที่ไหนก็ได้เพื่อความสะดวก ได้รับเงินเดือนตาม ม.35 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเงินเดือนจะเข้าบัญชีคนพิการโดยตรงสามารถมีอิสระในการดำเนินชีวิต สามารถดูแลครอบครัวได้ ไม่เป็นภาระจากอคติที่ว่าคนพิการเป็นกลุ่มคนที่มีภาวะพึ่งพิง

เปิดโอกาสให้อาการเจ็บป่วยทางใจ เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ช่วยเยียวยาได้

สอดคล้องกับ อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ หรือ ซันจู ผู้ก่อตั้ง SATI APP ระบุว่า นับจากเปิดให้คนพิการเป็นผู้ให้บริการรับฟัง พบรายงานความพึงพอใจของผู้รับบริการอยู่ที่ระดับ 4 เต็ม 5 ซึ่งถือว่ามีคะแนนอยู่ในเกณฑ์สูงมาก โดยที่ผู้รับบริการจะไม่รู้ว่าปลายสายที่คุยด้วยนั้นเป็นคนพิการที่ให้บริการด้วยหรือไม่

ซันจู – อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ผู้ก่อตั้ง SATI APP

เช่นเดียวกับประสิทธิภาพของคนพิการ ที่พบว่า มีความตั้งใจในการให้บริการ กระตือรือร้นเมื่อเจอแบบทดสอบใหม่ ๆ

ความพึงพอใจ บวกกับความเชื่อมั่นที่ได้รับคำขอบคุณ คนพิการก็รู้สึกว่าตัวเองก็ได้คืนอะไรให้กับสังคมเหมือนกัน แล้วการที่มาทำตรงนี้เขาเองก็ได้รับเงินเดือน นั่นหมายความว่าเราไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่เราก็ให้โอกาสเขามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่มันเปราะบางมาก ๆ ก็คือสุขภาพจิตของคนในประเทศ”

ซันจู – อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์

ซันจู ยังย้ำว่า สถานการณ์สุขภาพจิตของประเทศไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับเกินที่กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขรับมือได้ ต้องอาศัยหลายกระทรวง ทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนทุกคนที่มีส่วนสร้างสังคมให้เป็นมิตรกับคนที่ป่วยทางใจ หรือคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ จึงต้องหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งคนพิการก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยเช่นกัน

Mind First Aid และ Gifted Listener เป็นอีกเครื่องมือที่องค์กรด้านสุขภาพจิตพยายามผลักดัน นอกเหนือจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในการส่งต่อความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิต และเพิ่มทักษะการรับฟังแก่บุคคลทั่วไป และพัฒนาระบบการให้การสนับสนุนแบบเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเข้มแข็งขึ้น ผู้คนรับฟังและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ผ่านระบบการเรียนรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลทางใจที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น โดยผู้ที่สนใจเนื้อหา การปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้น (Mind First Aid) สามารถเข้าไปเรียนรู้ โดยคลิกอ่านได้ ที่นี่

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active