UddC เปิดผลศึกษาประเมินความสัมพันธ์เมืองสุขภาวะในยุค ‘สังคมสูงวัย’ พบ ไทยเผชิญความเปราะบาง มิติสังคม เศรษฐกิจ ย้ำ ปัญหาสุขภาพ ข้อท้าทายหลัก หลังคนเมืองเจอโรค NCDs สูงกว่าชนบท ชี้ คนไทยอยู่กับความเจ็บป่วยเฉลี่ย 7 ปี ก่อนตาย กรุงเทพฯ มีช่องว่างด้านสุขภาพสูงสุด ชงข้อเสนอนโยบาย 3 ด้าน ป้องกันวิกฤต ‘แก่ก่อนรวย’
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 68 ในงานนำเสนอผลการศึกษาโครงการ พัฒนาดัชนีประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมเมืองกับสุขภาวะคนเมืองในยุคสังคมสูงวัย ผ่านผลวิจัยสำคัญ 2 หัวข้อ ได้แก่ “ความสำคัญของสถานการณ์เมืองสูงวัยประเทศไทย” โดย รศ.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการ UddC และ “ดัชนีสภาพแวดล้อมเมืองสุขภาวะที่เป็นมิตรกับสังคมสูงวัย และผลการดำเนินโครงการ” โดย อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการ UddC
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด 45% ของพื้นที่อำเภอทั่วประเทศมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้หลายจังหวัดโดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ เริ่มเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอย่างชัดเจน
ข้อมูลของ UddC ก็พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้สูงอายุไทยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 8.7 ล้านคนในปี 2556 เป็น 13 ล้านคนในปี 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ประชากรสูงวัยเพิ่มเกือบเท่าตัวใน 10 ปี
รศ.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการ UddC อธิบายว่า สังคมสูงวัยไทยกำลังเผชิญ 2 ความเปราะบางหลัก ได้แก่
- มิติทางสังคม – ผู้สูงอายุจำนวนมากเผชิญความโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง ขาดระบบสนับสนุนที่เหมาะสมจากครอบครัวหรือชุมชน เกิดช่องว่างระหว่างวัยจนเกิดความขัดแย้งและภาวะ “ตัวใครตัวมัน”
- มิติเศรษฐกิจ – การหดตัวของแรงงานส่งผลให้ภาคการผลิตชะลอตัว ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง ขณะที่รายได้และการจัดเก็บภาษีของรัฐก็ลดลงตามไปด้วย และนี่คือโจทย์ใหญ่ที่เมืองและประเทศต้องเร่งรับมือ หากเมืองยังไม่พร้อม ประเทศก็ยากจะพร้อม

นอกจากมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพยังเป็นความท้าทายสำคัญ โดยเขตเมืองมี ความชุกของโรคเรื้อรัง (NCDs) เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเบาหวาน สูงกว่าพื้นที่ชนบทอย่างมาก รวมถึงโรคจากความเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ ที่พบผู้ป่วยเพิ่มปีละกว่า 100,000 คน ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยอัลไซเมอร์กว่า 600,000 คน โดยในกลุ่มอายุ 85 ปีขึ้นไปพบสูงถึง 30% ส่งผลให้ครอบครัวต้องเผชิญภาระดูแลมหาศาล และวัยแรงงานจำนวนมากต้องลาออกจากงานเพื่อกลับมาดูแลพ่อแม่
เฉลี่ยแล้ว ผู้สูงอายุ 3 คนต่อวันเสียชีวิตจากการหกล้ม และมีผู้พลัดตกหกล้มสูงถึง 5.5 ล้านคนต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป ปัญหานี้สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมเมืองที่ไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า คนไทยมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับความเจ็บป่วยเฉลี่ย 7 ปี ก่อนเสียชีวิต โดยกรุงเทพฯ มีช่องว่างด้านสุขภาพ (Health Gap) สูงสุดถึง 7.66 ปี สะท้อนว่าสุขภาวะไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นผลจาก สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม เช่น มลภาวะ การเข้าถึงพื้นที่สีเขียว และบริการสาธารณสุข
“สุขภาพไม่ได้สร้างในโรงพยาบาล แต่สร้างจากทุกวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ในเมือง”
รศ.นิรมล เสรีสกุล
‘เขตสัมพันธวงศ์’ พื้นที่เข้าสู่สังคมสูงวัยมากสุดใน กทม.
แม้ 54% ของประชากรไทยอาศัยอยู่ในเขตเมือง แต่สภาพแวดล้อมยังไม่ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ทำให้เกิดปัญหาการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะ ระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ปลอดภัย และที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม เช่น เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่เข้าสู่สังคมสูงวัยมากที่สุด มีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 35.4% รองลงมาคือ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตพระนคร ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่เข้าสู่สังคมสูงวัย เช่น อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มีสัดส่วนเพียง 7.8% เท่านั้น
รศ.นิรมล ยังชี้ว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่กำหนดสุขภาพคนเมือง ได้แก่ พฤติกรรมการดำเนินชีวิต, สภาพภูมิอากาศ, และ ความเสื่อมของร่างกาย พฤติกรรมเนือยนิ่ง เช่น การนั่งมาก เดินน้อย หรือการขาดกิจกรรมทางกาย เป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้เกิดโรค NCDs เมืองที่ดีต้องถูกออกแบบให้เชิญชวนให้คนเดินมากกว่านั่งเพื่อป้องกันโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% ในขณะที่โรคติดเชื้อจากฤดูกาล เช่น ไข้เลือดออก และท้องร่วง ลดลงราว 32% ขณะที่โรคจากความเสื่อม เช่น สมองเสื่อมและปัญหาสายตา มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ดัชนี AFCC-SHiP : เครื่องมือชี้วัดแนวพัฒนาเมืองสุขภาวะ
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการ UddC ยังเปิดตัว ดัชนีเมืองสุขภาวะรองรับสังคมสูงวัย (AFCC-SHiP Index) เครื่องมือสำคัญเพื่อประเมินความพร้อมของเมืองไทยในยุคที่สังคมกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยใช้แนวคิด Active Aging และ Age-Friendly City เป็นฐานในการสร้างกรอบตัวชี้วัด โดยมีการจัดลำดับความสำคัญตามหลัก Maslow’s Hierarchy of Needs ภายใต้สมมติฐานว่า “สภาพแวดล้อมของเมืองมีผลต่อสุขภาวะของคนเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม” ดัชนีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถเข้าใจความซับซ้อนของปัจจัยที่กำหนดคุณภาพชีวิตของประชากรในเมือง และใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเมืองให้พร้อมรองรับผู้สูงอายุในทุกมิติ

ดัชนี AFCC-SHiP ประเมินเมืองใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัย ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ปัญหาอาชญากรรม และภัยธรรมชาติ ความพร้อมด้านสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าถึงระบบบริการทางการแพทย์และความพร้อมของบุคลากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริการสาธารณะ เช่น ระบบขนส่งและที่อยู่อาศัย และสุดท้ายคือมิติด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนและภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในการกำหนดอนาคตของเมืองและสังคม
ดัชนีนี้พัฒนาจากข้อมูลจำนวน 206 ชุด ครอบคลุม 55 หมวดหมู่จาก 22 หน่วยงานรัฐ โดยแบ่งเป็นข้อมูลระดับจังหวัด 43% ระดับอำเภอ 10% และระดับตำบล 47% อย่างไรก็ตาม UddC ระบุว่า การจัดทำดัชนียังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลทุติยภูมิที่พึ่งพาหน่วยงานรัฐ จึงอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันทั้งหมด อีกทั้งยังมีข้อมูลหลายระดับที่ผสมกัน ข้อมูลเชิงปริมาณมีมากกว่าข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำให้ต้องมีการสังเคราะห์ร่วมกับบริบทพื้นที่ และที่สำคัญระบบการเก็บข้อมูลของกรุงเทพฯ ยังแตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ อย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพและความจำเป็นพื้นฐาน จึงต้องปรับฐานข้อมูลให้สอดคล้องกันเพื่อใช้ประเมินอย่างเป็นระบบ
ท้องถิ่นทั่วประเทศกับตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตทุกมิติ
ผลสำรวจจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ยังสะท้อนว่า 3 ปัญหาที่กระทบคนเมืองมากที่สุด คือ ความยากจน, ความไม่มั่นคงของที่อยู่อาศัย และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกันและส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงซึ่งมักมีความเปราะบางเป็นพิเศษ
เมื่อวิเคราะห์ผลดัชนีเชิงพื้นที่ พบว่า
- มิติความมั่นคงปลอดภัย จ.ภูเก็ต มีคะแนนสูงที่สุด รองลงมาคือ ตราด และสงขลา ขณะที่จังหวัดที่มีความเปราะบางสูง ได้แก่ เชียงราย, สตูล และบุรีรัมย์ สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินระหว่างเมืองใหญ่และเมืองเล็ก
- สำหรับ มิติสุขภาพ จังหวัดที่มีความพร้อมมากที่สุดคือ ภูเก็ต, นนทบุรี และเชียงใหม่ ส่วนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ หนองบัวลำภู, ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์
- มิติด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ จ.สมุทรปราการ, นนทบุรี และปทุมธานี มีคะแนนสูงสุด แสดงถึงศักยภาพของเมืองรอบกรุงเทพฯ ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน แม่ฮ่องสอน, นครนายก และสตูล กลับมีความพร้อมต่ำที่สุด
- มิติการมีส่วนร่วมของประชาชน จ.บึงกาฬ, ลำพูน และแม่ฮ่องสอน มีคะแนนสูงสุด ขณะที่จังหวัดที่รั้งท้ายคือ ระยอง, นครนายก และสระแก้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเมือง
ข้อมูลด้านสุขภาพยังพบแนวโน้มที่น่ากังวล โรคที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 15% อันเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การนั่งมาก เดินน้อย และขาดการออกกำลังกาย ในขณะที่โรคติดเชื้อ เช่น ไข้เลือดออกและท้องร่วงเริ่มลดลงเนื่องจากมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม โรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคสายตาพิการ กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นระเบิดเวลาของสังคมสูงวัยที่อาจสร้างภาระมหาศาลต่อระบบสาธารณสุขและครอบครัว

จากผลการประเมิน UddC ได้จำแนกเมืองออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่
- กลุ่มแรก คือ เมืองที่มีศักยภาพสูงและความเปราะบางต่ำถึงปานกลาง เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี และภูเก็ต เมืองเหล่านี้มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ระบบสุขภาพมีคุณภาพ และมีความเหลื่อมล้ำต่ำ แต่ยังต้องเผชิญปัญหาโรคเรื้อรังและช่องว่างในบางกลุ่มประชากร
- กลุ่มที่สอง คือ เมืองขนาดกลางที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งมีศักยภาพและความเปราะบางในระดับปานกลาง หากวางยุทธศาสตร์และเตรียมการอย่างเหมาะสมก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตได้
- ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ เมืองที่มีศักยภาพต่ำและความเปราะบางสูง เช่น จังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา และบึงกาฬ ซึ่งกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วแต่โครงสร้างพื้นฐานและระบบบริการไม่พร้อม เมืองเหล่านี้จึงถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลุกลาม
ข้อเสนอแก้วิกฤต ‘แก่ก่อนรวย’
อดิศักดิ์ ยังเสนอแนวนโยบาย 3 ด้านเพื่อป้องกันวิกฤตแก่ก่อนรวย ได้แก่ การพัฒนาด้านกายภาพเมือง ด้วยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ผลักดันมาตรฐานอารยสถาปัตย์ และออกแบบเมืองให้น่าอยู่และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ด้านเศรษฐสังคม ควรสนับสนุนตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่น พัฒนาเศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy) หรือก็คือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้สูงอายุ และสร้างระบบ “ธนาคารเวลา” เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพากันเองได้อย่างยั่งยืน ส่วนด้านสุขภาพ ต้องจัดตั้งระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ พร้อมยกระดับให้เป็นสิทธิและสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน
“เมืองที่เป็นมิตรกับสังคมสูงวัยไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังสร้างสังคมที่ปลอดภัยและมีสุขภาวะสำหรับคนทุกวัย หากไม่เร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ แก่ก่อนรวย อย่างเต็มรูปแบบ”
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้
