ตอกย้ำอคติ ผ่านกระบวนการยุติธรรม ปม สภากาชาดฯ ชนะคดี ไม่รับบริจาคเลือดกลุ่มชายรักชาย

‘มูฟดิ-เครือข่ายเอชไอวี’ ตั้งข้อสังเกต คำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง ย้ำ หลักการสำคัญ ฝากสังคม กระบวนการยุติธรรม ต้องทำความเข้าใจ ‘กลุ่มเสี่ยง’ ไม่เท่ากับ ‘พฤติกรรมเสี่ยง’ เสนอเพิ่มเงื่อนไข วิธีป้องกันเอชไอวี เป็นคำถามคัดกรอง วอน สื่อเลี่ยงพาดหัวข่าว สร้างความเกลียดชัง

จากกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 1961/2568 เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ที่เคยมีคำสั่งให้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับบริจาคโลหิตจากการคัดกรองโดยเหมารวม กลุ่มประชากร มาเป็นการพิจารณา พฤติกรรมเสี่ยง ของปัจเจกบุคคล

เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) ในฐานะภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมความเข้าใจเรื่องความแตกต่างหลากหลายของความเป็นมนุษย์ทั้งเรื่องของ เชื้อชาติ สีผิว อายุ ภาวะสุขภาพและอื่น ๆ ในทุกมิติ รวมถึงเรื่องของเพศสภาพ เพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อทำให้สังคมไม่ผลิตซ้ำ วิธีคิดแบบตีตราเหมารวมเลือกปฏิบัติ

ยอมรับว่าผิดหวัง และด้วยความเคารพต่อความเห็นของตุลาการศาลปกครองกลางบางท่าน ในการวินิจฉัยคดีดังกล่าว จึงขอเสนอข้อคิดเห็นต่อคำพิพากษา เนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่อาจส่งผลไม่เพียงแต่จะทำให้การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศดำรงอยู่ต่อไป แต่ยังเป็นการสร้างและตอกย้ำอคติทางเพศในสังคมไทยให้รุนแรงขึ้นไปอีก ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม

กรณีดังกล่าวได้สะท้อนความล้มเหลวขององค์กรหลักของประเทศ ทั้งสภากาชาดไทย ศาลปกครอง และสถาบันสื่อ ที่ยอมให้อคติต่อเอชไอวี ต่อเพศสภาพ ต่อเพศสัมพันธ์ ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน มามีอำนาจเหนือองค์ความรู้ อันนำมาสู่การใช้เงื่อนไขการคัดกรองผู้บริจาคเลือดที่มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจนำมาสู่การตีความและรับรองโดยศาลปกครอง เช่นเดียวกับการนำเสนอข่าวที่ไร้ความรับผิดชอบของสื่อมวลชนหลายสำนัก

โดยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลปกครองกลางได้สร้างความเสียหายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสื่อมวลชนบางสำนักได้นำเสนอข่าวและพาดหัวในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงของสาธารณชน การพาดหัวข่าวที่เน้นย้ำว่า “กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศเป็นกลุ่มเสี่ยง” เป็นการสื่อสารที่บิดเบือนและอันตรายต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง

เครือข่ายฯ จึงขอเน้นย้ำในหลักการสำคัญที่สังคมและกระบวนการยุติธรรมต้องทำความเข้าใจ คือ “กลุ่มเสี่ยง” (Population Risk) ไม่เท่ากับ “พฤติกรรมเสี่ยง” (Individual Risk)

  • พฤติกรรมเสี่ยง สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกสถานะ โดยไม่จำกัดว่าเป็นเพศใด บุคคลข้ามเพศ อาจไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงเลย ในขณะที่ชายจริงหญิงแท้ก็อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงได้ เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ คือ การป้องกัน หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะมีเพศสภาพใด หรือเพศกำเนิดของคู่เพศสัมพันธ์เป็นอย่างไร หากคุณใช้วิธีป้องกันเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพในการมีเพศสัมพันธ์ คุณก็แทบไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งวิธีการป้องกันเอชไอวีในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีมาก ตั้งแต่ถุงยางอนามัย ยาเพร็พ ยาเป๊บ หรือการมีคู่เพศสัมพันธ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีแต่กดเชื้อไวรัสได้จนตรวจไม่พบ (หรือ U=U)


    ดังนั้น การใช้เกณฑ์กลุ่มเสี่ยงแบบเหมารวม เป็นการปฏิเสธสิทธิของปัจเจกบุคคลในการได้รับพิจารณาจากพฤติกรรมของตนเอง และเป็นการตีตรากลุ่มประชากรทั้งหมดว่าเป็น ผู้มีความเสี่ยง อย่างไม่เป็นธรรม
  • การระบุว่า “เลือกปฏิบัติเพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัย” เพื่ออธิบายถึงการนำเกณฑ์กลุ่มเสี่ยงมาใช้อ้างถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ควรกระทำในการปกป้องสวัสดิภาพผู้รับโลหิตที่พึงต้องใช้การคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยง อันมีได้ในบุคคลทุกเพศ หากแต่กลับกลายเป็นการ เลือกปฏิบัติ โดยจำกัด สิทธิในเสรีภาพ ที่จะกระทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และทำให้เกิดภาพอคติว่าบุคคลหลากหลายทางเพศมีพฤติกรรมเสี่ยงเป็นบุคคลมีโรคติดต่ออันตราย ซึ่งเป็นการขัดแย้งรุนแรงต่อหลักคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) รวมถึงหลักการยอร์กยาการ์ตา

  • เมื่อพูดถึง ความปลอดภัย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีการใช้วิธีการตรวจสารพันธุกรรม (NAT หรือแนท) เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงเอชไอวี เป็นมาตรการคัดกรองเลือดทุกถุง รวมถึงมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำให้เชื้อไวรัสหมดฤทธิ์ (pathogen deactivation/inactivation) ที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้นการคัดกรองชั้นแรกด้วย ประวัติ จึงเป็นเพียงขั้นตอนที่จะลดโอกาสที่จะตรวจเจอถุงเลือดที่จะต้องถูกทิ้งไปลงในระดับหนึ่งเท่านั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติไม่ได้ใช่ประวัติเพียงอย่างเดียวในการคัดกรองความปลอดภัยของเลือด

แม้คำพิพากษาจะยอมรับว่าการกระทำของสภากาชาดไทยเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ร้อง แต่กลับเลือกที่จะเพิกถอนคำวินิจฉัยที่เป็นคุณและสร้างสรรค์ของ วลพ. ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง

เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) จึงขอเรียกร้องและสนับสนุนการดำเนินการดังต่อไปนี้

  1. สนับสนุนให้ทาง วลพ. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อดำรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของ วลพ. คือการสร้างมาตรฐานที่เท่าเทียม ไม่ใช่การลดทอนความปลอดภัย คำวินิจฉัยเดิมของ วลพ. ที่ศาลปกครองกลางเพิกถอนไปนั้น มิได้เสนอให้รับบริจาคโลหิตจากบุคคลหลากหลายทางเพศโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกระบวนการคัดกรองของสภากาชาดไทยว่า ไม่อาจคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างแท้จริง และนำไปสู่ การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ข้อเสนอของ วลพ. คือการยกระดับกระบวนการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดยให้พิจารณาจาก พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาค เช่นเดียวกันในทุก ๆ คน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเพศกำเนิด เพศสภาพ หรือการแสดงออกทางเพศเป็นเช่นไร นี่คือมาตรฐานสากลที่หลายประเทศทั่วโลกได้ปรับใช้แล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตที่ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

  2. เรียกร้องให้สภากาชาดไทย และศูนย์รับบริจาคโลหิตทั่วประเทศไม่ใช้เงื่อนไขการรับบริจาคที่เป็นการเลือกปฏิบัติ เหมารวมและกีดกันผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิต เพื่อให้มีผู้บริจาคเลือดในจำนวนที่เพียงพอในขณะที่ยังคงความปลอดภัยสูงสุดของเลือดอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้มีความ Inclusive อย่างแท้จริงและอิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยการใช้เงื่อนไขการคัดกรองด้วยประวัติที่เป็นกลางด้านเพศสภาพ (เลิกกีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ) เป็นกลางด้านเพศกำเนิดของคู่เพศสัมพันธ์ (เลิกกีดกันผู้มีเพศสัมพันธ์กับเพศกำเนิดเดียวกัน) เป็นกลางด้านช่องทางการมีเพศสัมพันธ์ (เลิกกีดกันผู้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก) เป็นกลางด้านอาชีพ (เลิกกีดกันพนักงานบริการ) เป็นกลางด้านวิธีการป้องกันเอชไอวี (เลิกกีดกันผู้ใช้ยาเพร็พ หรือผู้ที่มีคู่เป็นผู้ติดเชื้อที่ U=U) แล้วเพิ่มเงื่อนไขวิธีการป้องกันเอชไอวี เข้ามาเป็นคำถามคัดกรองรายบุคคลที่เป็นมาตรฐานสากลและไม่เลือกปฏิบัติแทน

  3. เรียกร้องให้สื่อมวลชน โปรดแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการนำเสนอข่าวอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริงและหลักวิชาการ หลีกเลี่ยงการพาดหัวข่าวที่สร้างความเกลียดชัง ตีตรา เหมารวมและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

  4. เรียกร้องให้สังคม โปรดร่วมกันส่งเสียงเพื่อยุติการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ร่วมกันทำความเข้าใจเรื่องความเสี่ยง ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของ กลุ่มคน เพื่อเข้าใจเจตจำนงที่แท้จริงของเรื่องนี้ ว่าเราสามารถคำนึงถึงความปลอดภัยของโลหิตและความความเท่าเทียมทางเพศควบคู่กันไปได้ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมยังไม่สิ้นสุด เครือข่ายฯ จะยังคงยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสร้างสังคมที่เคารพในความแตกต่างหลากหลายและสิทธิมนุษยชนของทุกคนอย่างแท้จริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active