หลังพบเด็กเล็กป่วย RSV ซ้ำเกือบทุกปี ครอบครัวแบกภาระค่ารักษาสูง ขณะที่กรมควบคุมโรคพบ RSV และไข้หวัดใหญ่ยังระบาดหนักในกลุ่มเด็กอายุ 0–4 ปี ด้านกรมการแพทย์ ชี้ Nirsevimab ฉีดครั้งเดียวป้องกันได้ 6 เดือน ลดเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลกว่า 80%
วันนี้ (27 ก.ย.2568) จากกรณีที่มีกลุ่มผู้ปกครองออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV ให้เด็กเล็กฟรี หลังพบว่าเด็กป่วยด้วยโรคดังกล่าวซ้ำเกือบทุกปี และก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะกับครอบครัวที่ต้องรับมือค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลจำนวนมาก
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ The Active ว่าขณะนี้มีการเสนอวัคซีน RSV เข้ามาอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแล้ว ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาในเชิงวิชาการ แต่สิ่งสำคัญคือควรมีข้อมูลความต้องการจากผู้ปกครองและประชาชนเข้ามาสนับสนุนด้วย เพื่อสะท้อนว่ามีกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จริงจากวัคซีนชนิดนี้
“วัคซีนใหม่ ๆ เราไม่ได้ละเลย แต่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เพราะเรากำลังนำวัคซีนไปฉีดให้กับคนที่ยังไม่ป่วย หากพบผลข้างเคียงแม้เพียงหนึ่งราย ก็อาจสร้างผลกระทบต่อการประกาศสิทธิประโยชน์ในระบบได้” นพ.จเด็จ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ สปสช.ยอมรับว่าเมื่อเห็นเด็กป่วยจำนวนมากก็เข้าใจความต้องการของผู้ปกครองที่อยากให้มีวัคซีนป้องกัน แต่ทุกอย่างต้องอ้างอิงจากข้อมูลทางวิชาการและความปลอดภัยเป็นหลัก
“ในมุมมองส่วนตัว ผมเห็นว่าเด็กคือกลุ่มที่ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะหากวัคซีนพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์จริง การลงทุนกับเด็กก็ถือว่าคุ้มค่า เนื่องจากเด็กยังมีอายุยืนยาวและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ แต่ก็ต้องรอผลการพิจารณาทางวิชาการก่อน” เลขาธิการ สปสช. ระบุ
นพ.จเด็จ กล่าวว่าการตัดสินใจบรรจุวัคซีนใหม่เข้าสู่สิทธิประโยชน์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมักจะมีกระแสทั้งสองด้าน โดยเฉพาะหลังจากที่ประเทศไทยเคยมีบทเรียนจากวัคซีนโควิด-19 ที่มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยออกมาเคลื่อนไหว ดังนั้นการสื่อสารต้องอ้างอิงข้อมูลเชิงวิชาการ และพิจารณาความปลอดภัยเป็นหลัก
เลขาธิการ สปสช.กล่าวอีกว่าวัคซีนทุกชนิดอาจมีผลข้างเคียง แต่ถ้าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยและไม่รุนแรง ก็สามารถยอมรับได้ สิ่งสำคัญคือทีมวิชาการต้องประเมินอย่างรอบด้านว่าอัตราผลข้างเคียงมีน้อยและไม่ก่ออันตรายร้ายแรง จึงจะสามารถประกาศให้เป็นสิทธิประโยชน์ได้
“เวลาลูกป่วย พ่อแม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ารักษาและการดูแล ซึ่งเข้าใจได้ว่าผู้ปกครองทุกคนอยากให้ลูกมีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นหากผลวิชาการยืนยันว่ามีประโยชน์และปลอดภัยจริง ก็เป็นสิ่งที่ควรผลักดัน” นพ.จเด็จ กล่าว
สถานการณ์ RSV และไข้หวัดใหญ่พุ่งสูง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (7–13 กันยายน 2568) พบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น โดยโรคไข้หวัดใหญ่มีผู้ป่วยเพิ่มกว่า 30,000 คน และโรคติดเชื้อ RSV เพิ่มกว่า 3,400 คน ทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีถึง 20 กันยายนอยู่ที่ 555,074 คน (ไข้หวัดใหญ่) และ 16,145 คน (RSV) มีผู้เสียชีวิตแล้ว 59 คน และ 2 คนตามลำดับ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุ 0–4 ปี มีอัตราป่วยสูงที่สุด
นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค เตือนว่าทั้งไข้หวัดใหญ่และ RSV เป็นโรคที่ระบาดได้ง่ายในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และสถานที่ชุมชน หากไม่ป้องกันอาจลุกลามเป็นการระบาดเป็นกลุ่มก้อน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปทางเลือกใหม่
ด้านกรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เผยว่า ปัจจุบันมีวิธีป้องกันโรค RSV ด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปแบบออกฤทธิ์ยาว Nirsevimab (Beyfortus) ซึ่งการศึกษาระยะที่ 3 พบว่าสามารถลดความเสี่ยงการเข้าโรงพยาบาลได้ถึง 81% และมีประสิทธิภาพสูงสุดกว่า 79% ภายใน 2 สัปดาห์หลังฉีด
นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า จุดเด่นของ Nirsevimab คือฉีดเพียงครั้งเดียวสามารถป้องกันได้อย่างน้อย 6 เดือน ต่างจากยาป้องกันเดิมที่ต้องฉีดทุกเดือน และเหมาะกับทารกทั่วไปไม่เฉพาะกลุ่มเสี่ยง ขณะที่ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำให้ฉีดในทารกแข็งแรงอายุต่ำกว่า 8 เดือนทุกราย และทารกกลุ่มเสี่ยงอายุต่ำกว่า 12 เดือน เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคประจำตัว