เปิดใจ ‘หมอวีระพันธ์’ สว. call out ระบบสาธารณสุข ย้ำอีกครั้ง ‘บัตรทอง’ วิกฤต!

ชี้ ระบบบัตรทอง งบฯ ไม่พอ เตือน หากไม่เร่งแก้ เชื่อ “อีก 2 ปีครึ่งระบบอาจล่ม” ย้ำ พูดเพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันปกป้อง ไม่ใช่ทำลาย

เป็นอีกครั้งที่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า อย่าง บัตรทอง กำลังเผชิญกับวิกฤตที่ถูกตั้งข้อสังเกต ว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง เมื่อโรงพยาบาลทั่วประเทศร้องเรียนปัญหาขาดสภาพคล่อง ถูกเรียกคืนเงินย้อนหลัง และได้รับค่าชดเชยที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง กระทั่งเกิดกระแสสังคมเรียกร้องให้ ปฏิรูป สปสช.

ขณะที่ สปสช.เองก็ต้องบริหารงบประมาณที่จำกัดท่ามกลางความต้องการบริการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ออกมาเตือนถึงวิกฤตของระบบบัตรทอง ด้วยข้อมูลว่า “เงินบำรุงของโรงพยาบาลทั่วประเทศจะหมดภายใน 3 ปี” หรือเหลือเวลาอีกเพียง 2 ปีครึ่ง นับจากเดือนตุลาคม 2568

นพ.วีระพันธ์ บอกกับ The Active ถึงบรรยากาศการหารือกับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ​68 ในที่ประชุม กมธ.สาธารณสุข สว.กรณีปัญหาการเบิกจ่ายงบฯ ผู้ป่วยในล่าช้า

“ตอนแรกต้องบอกว่าปัญหานี้มันเริ่มสะสมและปะทุขึ้นเรื่อย ๆ โรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มร้องเรียนว่าเงินไม่ออก โดยเฉพาะสองเดือนสุดท้าย ซึ่งปกติจะมีการเบิกจ่ายทุกเดือน แต่ครั้งนี้ไม่ออกเลย โรงพยาบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักมาก จึงส่งเรื่องมาหาผมในฐานะสมาชิกวุฒิสภาสายวิชาชีพแพทย์”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. (ซ้าย) – นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา
และรองประธาน กมธ.การสาธารณสุข วุฒิสภา (ขวา)

นพ.วีระพันธ์ ระบุว่า กรรมาธิการฯ ได้เชิญ สปสช.เข้าชี้แจง และได้รับความร่วมมือจาก นพ.จเด็จ ที่เดินทางมาพร้อมทีมงาน โดยบรรยากาศในที่ประชุมถือว่า “พูดกันตรง ๆ” แม้จะมีจังหวะที่เสียงดังบ้าง แต่จบด้วยความเข้าใจดี

“ผมขออนุญาตบันทึกการประชุมไว้ แต่ทาง สปสช. ขอสงวนไม่ให้บันทึก ซึ่งผมก็เข้าใจ เพราะอย่างน้อยมันทำให้เราพูดกันได้ตรง ๆ ผมจึงพูดในสิ่งที่โรงพยาบาลเดือดร้อนจริง ๆ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ นพ.วีระพันธ์ ย้ำในที่ประชุม คือ ต้องการให้ สปสช. ยอมรับก่อนว่าระบบบริหารจัดการมีปัญหา

“ผมถามตรง ๆ ว่าท่านยอมรับไหมว่าการบริหารจัดการของ สปสช. มีปัญหา ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ต้องคุย เพราะมันจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ายอมรับว่ามี เราก็จะได้ร่วมกันหาทางแก้ไข”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

ผลการหารือในวันนั้น เลขาธิการ สปสช. ตอบว่า “เข้าใจว่าน่าจะมีปัญหา”

“ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่แก้ได้ ถ้าเรายอมรับความจริงร่วมกัน แล้วปรับปรุงระบบ มันไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ที่ผ่านมาเหมือน สปสช. ยังปฏิเสธปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโรงพยาบาล ทำให้ความไม่เชื่อมั่นสะสมเรื่อย ๆ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

เบื้องหลังตัวเลขที่ ‘สวนทาง’ ระหว่างโรงพยาบาล กับ สปสช.

นพ.วีระพันธ์ ยังอธิบายว่า ปัญหาหลักอยู่ที่งบฯ เหมาจ่ายผู้ป่วยใน (IP) ซึ่งเป็น งบฯ ปลายปิด

“ผมถามเลยว่า ถ้ายอมรับว่ามีปัญหา ก็จะสามารถขอปรับงบฯ ในปีถัดไปได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับ ก็จะเป็นแบบนี้อีก เพราะอัตรา 8,350 บาทต่อ RW มันไม่พออยู่แล้ว”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

เมื่อถามถึงเหตุผลที่ สปสช.ชี้แจงว่า “เงินเพียงพอ” และมีการโอนรายวัน นพ.วีระพันธ์ ระบุว่า สปสช.พยายามอธิบายด้วยตัวเลขที่ซับซ้อนมาก ใครฟังก็งง เลยพยายามทำให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าโรงพยาบาลคำนวณไว้แล้วว่าจะได้เท่าไร แต่พอถึงวันโอนจริงกลับไม่ได้ตามนั้น

โดยเฉพาะกรณี โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ที่เป็นจุดเริ่มของกระแสข่าวใหญ่ในช่วงต้นเดือนตุลาคม โรงพยาบาลคำนวณไว้ว่า สปสช. จะโอนให้ประมาณ 238 ล้านบาท ซึ่งทุกฝ่ายรับรู้ตามนี้ แต่เมื่อ สปสช.ประกาศว่าจะโอนคืนทั้งหมด กลับได้จริงเพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น

เหตุการณ์นี้สร้างความสับสนในวงกว้าง เพราะ สปสช. ชี้แจงภายหลังว่าตัวเลขดังกล่าวเป็น ยอดปรับ ตามระบบคำนวณใหม่ หรือ Adjusted RW แต่โรงพยาบาลหลายแห่งยืนยันว่า ไม่เคยได้รับแจ้งล่วงหน้า

“หลังจากนั้นวันต่อมา สปสช. ออกมาไลฟ์ชี้แจง ผมต้องบอกว่า สิ่งที่เขาพูดถูกหมดในเชิงบัญชี แต่ไม่ตรงกับที่ตกลงไว้ และไม่ตรงกับความจริงที่โรงพยาบาลเจอ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

นพ.วีระพันธ์ ยังชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณมีความคลาดเคลื่อนกันถึง 3 ระดับ คือ

  • 8,350 บาทต่อ RW (อัตราเดิม)

  • 7,800 บาท (อัตราเฉลี่ยใหม่)

  • 6,000 กว่าบาท (ตัวเลขจริงที่โรงพยาบาลได้รับ)

สปสช. เลือกพูดสิ่งที่ถูกในมุมของตนเอง แต่พูดไม่ครบ เช่น บอกว่าเฉลี่ย 7,800 ตลอดปี แต่ความจริงสองเดือนสุดท้ายโรงพยาบาลได้เงินเฉลี่ยแค่ 6,000 กว่าบาท

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา
และรองประธาน กมธ.การสาธารณสุข วุฒิสภา

ไม่ได้โพสต์เพื่อ ‘โจมตี’ แต่พูดแทนโรงพยาบาลที่เดือดร้อน!

นพ.วีระพันธ์ ยังเล่าว่า หลังการประชุม เขายังติดต่อพูดคุยกับ นพ.จเด็จ ผ่านช่องทางส่วนตัว โดยตั้งใจจะหาทางร่วมกันแก้ปัญหา

“เราคุยกันดีมาก แลกไลน์กันด้วยซ้ำ ผมบอกเลยว่าผมไม่ใช่คนที่ยิ้มข้างหน้าแล้วถือมีดข้างหลัง ผมพูดตรง ๆ ถ้ามีอะไรผมจะบอก”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลหลายแห่ง “กลายเป็นลูกหนี้ในชั่วข้ามคืน” เขาจึงตัดสินใจออกมาโพสต์ เพราะมีผู้อำนวยการโรงพยาบาลโทรมาหาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“วันศุกร์ที่ประกาศว่าจะโอนเงิน ผมยังไม่ได้คิดอะไร แต่เช้าวันเสาร์มีผู้อำนวยการโทรมาหาผมเกือบร้องไห้ บอกว่าเงินไม่เข้า แถมโรงพยาบาลกลายเป็นลูกหนี้ จะเอาเงินที่ไหนจ่ายเจ้าหน้าที่ ผมเลยรู้ว่ามันถึงจุดที่ต้องพูดแทนเขาแล้ว”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

ก่อนโพสต์ นพ.วีระพันธ์ ยังได้โทรแจ้ง รองเลขาธิการ สปสช. โดยตรง

“ผมโทรบอกก่อนเลยว่า…พี่ครับ ผมจะโพสต์นะ พี่รอรับแรงกระแทกนะ ซึ่งท่านก็บอกว่า ตามสบายเลยครับ ผมถือว่าเราคุยกันด้วยความตรงไปตรงมา ผมโพสต์ไม่ใช่เพราะอยากโจมตี แต่เพราะอยากให้สังคมเห็นข้อเท็จจริงและให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

ถ้ายอมรับว่ามีปัญหา เราจะได้หาทางออกร่วมกัน

นพ.วีระพันธ์ ยังทิ้งท้ายว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ควรถูกมองเป็น ความขัดแย้งส่วนตัว ระหว่าง สปสช. กับ โรงพยาบาล เพราะทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในระบบสุขภาพเดียวกัน

“สิ่งที่ผมอยากเห็นคือความร่วมมือ ไม่ใช่การโต้เถียงผ่านสื่อ ถ้ายอมรับว่ามีปัญหา เราก็จะได้หาทางออกด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่มันกระทบระบบบริการสุขภาพของทั้งประเทศ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

นพ.วีระพันธ์ ย้ำว่า ปัญหาหลักของระบบขณะนี้คือ เงินไม่พอ แม้จะมีประเด็นด้านการบริหารจัดการหรือการแยกกองทุนที่ซับซ้อน แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องงบประมาณที่ไม่เพียงพอ

“ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายใด แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่า เงินไม่พอจริง ๆ เขาก็พยายามจัดการกันแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไม่พออยู่ดี ถ้าไม่พอ ก็ควรพูดตรง ๆ ว่าไม่พอ เพื่อให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ซื้อ (purchaser) และผู้ให้บริการ (provider) รับรู้ตรงกัน เพราะเมื่อเราพูดความจริงได้ ก็จะเป็นจุดเริ่มให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น ประชาชนต่างหากที่จะได้รับประโยชน์”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

อย่างไรก็ตาม นพ.วีระพันธ์ ยังชี้ว่า การจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณก็มีปัญหา เช่น โครงการบางประเภทที่เป็น ปลายเปิด หรือใช้งบฯ กับกิจกรรมที่อาจไม่เร่งด่วนทางสุขภาพ เช่น การส่งเสริมบริการบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาชีวิตโดยตรง

“ผมเคารพทุกกลุ่ม แต่ถ้าเป็นงบฯ ที่ใช้ไปในเรื่องที่ไม่ถึงขั้นชีวิต เช่น อยากสวย อยากแปลงเพศ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นขนาดนั้น ถ้าเทียบกับคนไข้ที่รอคอยการรักษา หรือโรงพยาบาลที่ขาดงบฯ ควรเอาเงินไปช่วยเขาก่อน เพื่อให้ระบบโดยรวมอยู่ได้”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

สำหรับปัญหางบประมาณในระบบสะสมมานาน และจากการประเมินของหลายฝ่าย รวมถึงรายงานจากการประชุมร่วมระหว่างโรงพยาบาลกับ สปสช.พบว่า “เงินบำรุงของโรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังลดลงต่อเนื่อง”

“ข้อมูลจาก Uhosnet และการประชุมร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ คำนวณจากเงินบำรุงที่เหลืออยู่ พบว่า ถ้ายังใช้อัตรานี้ต่อไป เงินบำรุงจะหมดภายใน 3 ปี เพราะต้นทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาท แต่ระบบจ่ายแค่ 8,000 บาทต่อหัวมาหลายปีแล้ว มันขาดทุนสะสมมาตลอด”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

อีกสิ่งสำคัญที่ นพ.วีระพันธ์ ย้ำ คือ…

“ระบบล่มภายใน 3 ปี” ไม่ได้มาจากการพูดลอย ๆ แต่เกิดจากการคำนวณทางงบประมาณจริง และเมื่อเวลาผ่านมา 5 เดือนโดยยังไม่มีการแก้ไข จะเหลือเวลาเพียง 2 ปีครึ่ง”

นพ.วีระพันธ์ ยืนยันว่า สิ่งที่ตั้งข้อสังเกตไม่ใช่เพื่อให้ระบบล่ม แต่เพื่อให้ทุกคนช่วยกันแก้ เพราะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage) เป็นสิ่งที่ประเทศต้องมี และต้องรักษาไว้ให้ได้ พร้อมยืนยันว่า ไม่ควรยกเลิกเด็ดขาด เพียงแต่ต้องร่วมกันพัฒนาให้ระบบอยู่ได้อย่างยั่งยืน

เมื่อถามถึงกระแสเรียกร้อง ยุบ สปสช. นพ.วีระพันธ์ มองว่า สปสช.ยังมีประโยชน์ในเชิงกลไกตรวจสอบจากภายนอก ต้องยอมรับว่า สปสช.มีประโยชน์ในบางมิติ เพราะถ้าให้กระทรวงสาธารณสุขบริหารเองทั้งหมด ก็จะกลับไปสู่ปัญหาเดิม การที่มีกลไกแยกออกมา ช่วยให้เกิดการถ่วงดุลได้ระดับหนึ่ง เพียงแต่ต้องมีการ ปฏิรูป วิธีบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วนข้อเสนอเชิงนโยบาย หากมีโอกาสให้รัฐบาลหรือพรรคการเมืองในอนาคตเข้ามาแก้ระบบบัตรทอง เขามองว่า ต้อง “เริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด”

“ตอนนี้ตัวเลขหลายอย่างใช้ไม่ได้แล้ว งานวิจัยก็ยืนยันว่ามันไม่สะท้อนความจริง เราต้องคำนวณใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ตรงกับต้นทุนที่แท้จริง และสอดคล้องกับภาระงานของบุคลากร รวมถึงเป้าหมายที่ รมว.สธ. พูดไว้ว่า หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ และเชื่อมต่อบริการด้วยเทคโนโลยี ซึ่งผมเห็นด้วยมาก เพราะทั้ง 3 อย่างนี้เชื่อมโยงกันหมด”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

รอง กมธ.สาธารณสุข สว. บอกอีกว่า การลดภาระบุคลากรต้องเริ่มจากการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาระบบดิจิทัลด้านบริการสุขภาพ

“ตอนนี้คนไปหาหมอปีละประมาณ 300 ล้านครั้ง ในจำนวนนี้กว่า 200 ล้านครั้งเป็นการพบหมอเพื่อต่อยาเบาหวาน ความดัน ถ้าเราสามารถใช้เทคโนโลยี หรือ telemedicine เข้ามาช่วย ก็จะลดภาระการเดินทาง ลดภาระหมอ บุคลากรก็จะมีเวลามากขึ้นสำหรับผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจริง ๆ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

พร้อมย้ำว่า สิ่งที่ควรทำทันทีคือการพัฒนาซูเปอร์แอปสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วย การรักษา และการเบิกจ่ายได้ในระบบเดียว

“ถ้าเป็นผม ผมจะเริ่มจากตรงนี้ก่อนเลย และต้องทำให้เร็วที่สุด เพื่อให้บุคลากรได้พัก คนไข้ไม่ต้องรอ และระบบสามารถบริหารทรัพยากรได้คุ้มค่ากว่าเดิม”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย

นพ.วีระพันธ์ ทิ้งท้ายว่า การปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพจำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือ และ กำลังใจ จากทุกฝ่าย

“สิ่งแรกที่ต้องทำคือให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเขาคือแนวหน้า ส่วนผู้บริหารระดับนโยบายต้องกล้ายอมรับปัญหาและพูดความจริง ถ้าเราร่วมมือกัน ระบบนี้จะไม่ล่มแน่นอนครับ”

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย ทิ้งท้าย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active