แพทย์ ชี้ดูแล ‘ผู้ป่วยระยะท้าย’ ทำได้หลายวิธี ต้องออกแบบให้ตรงบริบทพื้นที่ – ตามความต้องการ 

ชวนมอง 3 บริบท การดูแลแบบ ‘ประคับประคอง’ ในระบบบริการสุขภาพไทย เน้นย้ำ คุณค่าแห่งช่วงเวลา สร้างคุณภาพชีวิตดี ๆ ในวาระสุดท้ายของผู้ป่วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในงาน “มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ” ครั้งที่ 5 มีประชุมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมวิชาการด้านเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ โดยหัวข้อเสวนาสำคัญ เรื่อง “รูปแบบการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้าย ตามบริบทพื้นที่” ภายใน session “Geriatric care models for inspiration” หรือ โมเดลการดูแลผู้สูงอายุเพื่อแรงบันดาลใจ

โดยเป็นการเล่าถึงประสบการณ์การทำงานด้านการดูแลแบบประคับประคองตามบริบทพื้นที่แตกต่างกัน 3 ส่วน ได้แก่ โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โรงพยาบาลต่างจังหวัด และโรงพยาบาลเอกชน

นพ.ภูริทัต แสงทองพานิชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่ทำระบบการดูแลแบบประคับประคองครบวงจร ระบุว่า ความยากของการทำงานเรื่องการดูแลแบบประคับประคองในกรุงเทพฯ คือ การมีประเภทผู้ป่วยที่หลากหลาย บางระบบอาจเหมาะสมกับคนบางกลุ่มเท่านั้น และระบบการสั่งการของกระทรวงสาธารณสุขอาจยังมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับในต่างจังหวัด

“คนมักบอกกันว่าถ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้วมีเงิน หากเจ็บป่วย การเข้าถึงการรักษาแพทย์เฉพาะทางเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะหมอกรุงเทพฯ เก่งเรื่องการยื้อชีวิต เตียงเยอะ เครื่องพยุงชีพเยอะ และมีโรงเรียนแพทย์มากมาย แต่ในความเป็นจริง ใน กทม. มีชุมชนอยู่ 2 แบบ คือ กลุ่มที่อยู่คอนโด หรือหมู่บ้าน ที่จะมีความเป็นมิติปัจเจกบุคคลมากกว่า ในขณะที่อย่าลืมว่า เรายังมีชุมชนจัดตั้ง ที่ค่อนข้างแออัด หนาแน่น มักเป็นแรงงานรายวัน และมีฐานะไม่ดีนัก เราพบว่าใน กทม.ชุมชนลักษณะนี้มีผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงเยอะมาก”

นพ.ภูริทัต แสงทองพานิชกุล

นพ.ภูริทัต ชี้ให้เห็นว่า กทม. มีบริบทที่ซับซ้อน ที่ผ่านมาการจัดการปัญหาไม่ง่าย แต่การมี 24 นโยบายสุขภาพดีปี 2 ของ กทม. ทำให้คน กทม.เข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้นอย่างชัดเจน และระบบออนไลน์ยังเป็นวิธีที่เหมาะสมวิธีหนึ่งในเวลานี้

“ระบบง่าย ๆ อย่างการแอดไลน์ สร้างความสะดวกและลดความทุกข์ใจให้ผู้ป่วยได้มาก ผู้ป่วยบางคนโอกาสหายป่วยเหลือน้อยเต็มที เราสามารถลิงก์ให้เขาเข้าวอร์ดพาลิทีฟแคร์ ก็ได้ไม่ว่าจะสะดวกที่โรงพยาบาลไหน และหากถูกส่งไปในโรงพยาบาลที่ไม่ชำนาญเรื่องการดูแลประคับประคอง ก็สามารถสอบขอคำแนะนำทางออนไลน์ได้เลย”

นพ.ภูริทัต แสงทองพานิชกุล

‘ไม่ยืดเยื้อ ไม่เร่งรัด’ ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย

นพ.ภูริทัต ยังชี้ว่า ที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ได้ทำระบบการดูแลแบบประคับประคองมากว่า 10 ปีแล้ว เห็นปัญหาหนึ่งที่เป็นความเจ็บปวดของคน กทม.คือเรื่องเงิน หรือความต้องการเข้าถึงโรงพยาบาล ในขณะที่ ผู้ป่วยหลายรายอยู่ในระยะที่ไม่สมควรยื้อชีวิตต่อไปแล้ว แต่กลับถูกยื้ออย่างเต็มที่มาจากโรงพยาบาลเอกชน

แม้ราชพิพัฒน์ทำเรื่องการดูแลแบบประคับประคองมานาน และการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบ telemedicine และลงเยี่ยมบ้านแบบออนไลน์จะไปได้ดี แต่ยังคงเห็นความเจ็บปวดของคนเมืองในเรื่องค่าใช้จ่ายและทัศนคติต่อการยื้อชีวิต จึงมีการจัดตั้ง ICU-PU ขึ้น ด้วยหลักการ “ไม่ยืดเยื้อ ไม่เร่งรัด” เพื่อรองรับผู้ป่วยระยะท้ายในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการพยายามยื้อชีวิตสู่การดูแลแบบประคับประคอง รวมถึงดูแลไปจนถึงผู้สูงอายุด้วย

“เรามีคลินิกสุขใจ สูงวัย ประคับประคอง ที่ดูแลผู้ป่วยสูงอายุ เพราะเราเชื่อว่าหากทำงานกับผู้ป่วยในระยะที่ไปถึง end stage แล้วจะสายเกินไป การสร้างคุณค่าให้พวกเขาคงไม่มากพอ แต่หากทำให้ผู้สูงอายุ เขาจะมีเวลามากพอที่จะวางแผนชีวิต ทำ living will แจ้งความประสงค์แก่ญาติตอนยังมีเวลา ลดภาวะกตัญญูเฉียบพลันของญาติในระยะท้ายด้วย”

นพ.ภูริทัต แสงทองพานิชกุล

จะเห็นได้ว่า บริบทของผู้ป่วยใน กทม. มีความหลากหลายและความเป็นปัจเจกบุคคลสูงมาก คนมีเงินเข้าถึงการรักษาได้มากกว่า และเป็นที่รู้กันว่าการทำให้การดูแลแบบประคับประคองทั่วถึงเป็นเรื่องยากเพียงไหน แต่แท้จริงแล้ว หัวใจสำคัญคือการทำให้คนเข้าสู่ระบบให้ได้เสียก่อน การออกแบบวิธีให้ตอบโจทย์แบบ tailor-made และรูปแบบออนไลน์นี้ จะเป็นก้าวแรกที่ทำให้คนเมืองที่หลากหลายเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ฐานวัฒนธรรม-ความเชื่อ สู่การออกแบบบริการดูแล ‘ผู้ป่วยระยะท้าย’

ขณะที่ พญ.สุพรรณี สุดสา จากโรงพยาบาลอุดรธานี แพทย์ผู้ริเริ่มการใช้ living will ในรูปแบบสมุดเบาใจ จนได้รับฉายา หมอเบาใจ เล่าว่า บริบทของ กทม. กับทางภาคอีสานแตกต่างกันมาก คน กทม. จำนวนหนึ่งอาจอยากรักษาตัวที่โรงพยาบาลแม้โรคจะเข้าสู่ระยะท้ายแล้ว แต่ในอุดรธานีไม่เป็นเช่นนั้น

“คนอีสานมีความเชื่อว่าต้องตายที่บ้าน ถ้าตายนอกบ้าน จะนำร่างกลับเข้าบ้านไม่ได้ ฉะนั้นเวลาอาการเขาแย่ลงเมื่อไร เขาจะขอกลับบ้านทันที ไม่ว่าตอนนั้นจะดึกดื่นแค่ไหน โรงพยาบาลเลยต้องออกแบบบริการให้ตรงกับความเชื่อวัฒนธรรม เตรียมบริการให้คนไข้ได้กลับบ้านได้ทันทีตามประสงค์”

พญ.สุพรรณี สุดสา

ด้วยบริบทดังกล่าว ทำให้มี PC-Home Care ที่ทีมแพทย์ลงเยี่ยมผู้ป่วยถึงบ้าน แต่ยังคงไว้ซึ่งการดูแลที่ครอบคลุม รวมทั้งการให้คนไข้ทำการวางแผนดูแลสุขภาพล่วงหน้าหรือ Advance Care Plan, ACP ด้วย โดยใช้ชื่อว่า “ใบพร้อมสุข” เพื่อให้ดูเป็นมิตรและเข้าใจง่ายกับคนไข้

และหากผู้ป่วยเลือกจะอยู่ที่โรงพยาบาล ในวอร์ดพาลิทีฟ ก็สามารถประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและความประสงค์ของผู้ป่วยได้หมด เพื่อความสบายใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ และยังทำงานร่วมกับวัด โดยมี สถานชีวาภิบาลพุทธบุตรสวนเวฬุวัน อุดรธานี เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมเพื่อดูแลผู้ป่วยครบทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณด้วย

ความรัก แบบไม่ยื้อ ทลายข้อจำกัดดูแลระยะท้าย

หากมองมาที่ภาคเอกชน พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร โรงพยาบาลคูน ที่เปิดให้บริการป่วยแบบประคับประคองมาแล้วร่วม 3 ปี เล่าว่าตนเองตั้งใจทำธุรกิจนี้โดยมีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มตลาดกลาง-บน เนื่องจากเชื่อว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถกำหนดทิศทางและความนิยมของสังคม

“เราเชื่อว่า หากพวกเขาตระหนักรู้และเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ความเชื่อของสังคมส่วนใหญ่จะคล้อยตามและกลายเป็น movement ในสังคม เราอยากให้คนเห็นว่าการไม่ยื้อชีวิตผู้ป่วย ก็เป็นการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่งได้เช่นกัน”

พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร

พญ.นิษฐา ย้ำว่า ที่ผ่านมาเห็นข้อจำกัดของโรงพยาบาลรัฐ เลยอยากออกแบบให้การดูแลเป็นแบบ personalized design service หรือออกแบบตามแต่ละบุคคลให้ได้มากที่สุด เพื่อพยายามทำลายข้อจำกัดที่เคยมี

“เราพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ของการดูแลที่อาจทำไม่ได้ในบางโรงพยาบาล เช่น มีการ dog therapy การนำตู้ปลามาตั้งในห้องผู้ป่วย รวมทั้งการนำสัตว์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น นก เต่า หมู หรือแม้กระทั่งงูเข้ามา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายของผู้ป่วยระยะท้ายจริง ๆ”

พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร

ไม่ว่าบริการสุขภาพระบบใด ดูแลระยะท้าย คือช่วงเวลาที่งดงาม

ท้ายที่สุด หากถามว่าเหตุใด แพทย์ทั้งจาก 3 ระบบการดูแลสุขภาพ ยังคงเลือกทำงานกับผู้ป่วยระยะท้าย ทุกคนต่างเชื่อเหมือนกันว่า เป็นสิ่งที่มีความหมาย สร้างคุณค่า และช่วยให้สังคมเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย

“ในช่วงแรกที่ตัดสินใจทำงานด้านนี้ เราคิดเหมือนกันว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปมันทำให้เราเห็นคุณค่า แม้เราจะทำให้คนไข้หายป่วยไม่ได้แล้ว แต่เรายังสามารถดูแลเขาให้มีคุณภาพชีวิตดี และส่งเขาไปให้ถึงที่หมายได้อย่างดี แม้ความตายจะเป็นเรื่องน่าโศกเศร้าก็จริง แต่ระหว่างขึ้นตอนการดูแลทั้งจากทีมแพทย์และครอบครัว เราเห็นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่งดงามเสมอ”

พญ.สุพรรณี สุดสา

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active