IHRI รับองค์กรรัดเข็มขัดนานแล้ว ขณะที่ ‘มูฟดิ’ ชี้ รอ 90 วัน เท่ากับรอวันล่มสลาย เร่งถามจุดยืนภาครัฐ สนับสนุนภาคประชาสังคมทำงานคู่ขนาน
หนึ่งในคำสั่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 68 และสร้างความกังวลใจไปทั่วโลก คือ การสั่งระงับโครงการเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID เป็นระยะเวลา 90 วัน โดยอ้างว่าต้องการให้สอดคล้องกับนโยบาย “America First” จนส่งผลให้หลายโครงการที่ครอบคลุมความช่วยเหลือเพื่อช่วยชีวิต มูลค่านับพันล้านดอลลาร์ทั่วโลกต้องหยุดชะงักลงทันที

The Active พูดคุยประเด็นนี้กับ พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการบริหารสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ทำงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี และปัญหาสุขภาพต่างๆ นำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ตัวอย่างเช่น ปี 2562 กระทรวงสาธารณสุขประกาศรับรองให้บริการเอชไอวีโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์สุขภาพชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการยุติปัญหาเอชไอวี ระบุว่า ที่ผ่านมาทุกคนได้มีการเตรียมตัวมาตั้งแต่ช่วงของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะกังวลด้านจุดยืนทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อทุน USAID และสั่งให้รัดเข็มขัดด้านงบประมาณมานานแล้ว
โดยงบประมาณในองค์กร 15% มาจากรัฐบาลอเมริกา ผ่านกองทุน USAID ในจำนวนนี้ถูกใช้ในการจ้างบุคลากรประมาณ 40 % ของบุคลากรทั้งหมดของ HIRI หรือประมาณ 42 คน ซึ่งตอนนี้ทราบว่าหลายๆ องค์กรอยู่ในช่วงตกใจ หรือพูดว่าองค์กรจะล่มสลาย แต่ IHRI ถือว่ายังโชคดีที่มีรายรับอื่นๆ เช่น 10% มาจากรัฐบาลสหรัฐผ่านสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIH) 40% จากทุนอื่นๆ และอีก 35% เป็นเงินจากการเปิดคลินิกสุขภาพพริบตาคลินิก แต่ไม่ได้หมายความว่าตนเองมีสายป่านที่ยาวกว่าคนอื่น เพราะเวลานี้ต้องไปยืมเงินเพื่อนภาคี องค์กรอื่น ๆ เพื่อให้สามารถอยู่รอดในตอนนี้ โดยที่ไม่ต้องปลดคนออก และสามารถดำเนินงานต่อไปได้ เนื่องจากมองว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นความผิดของใคร
“เราไม่ได้มีความหวังหรือคิดว่าเมื่อ 90 วันผ่านพ้นไปแล้ว จะสามารถได้รับงบฯ กลับมาเหมือนเดิม นั่นแปลว่าเราต้องนับหนึ่งตรงนี้เลย ไม่ใช่ไปนับเมื่อถึง 30 วัน เราไม่สามารถเลี้ยงคนโดยที่ไม่รู้อนาคตได้นานขนาดนั้น นี่เป็นช่วงที่เราในฐานะองค์กรภาคสังคมต้องกันคิดจริงๆ ว่า เราจะต้องไปมองหาแหล่งทุนจากตรงไหนบ้างทั้งเพื่อน รัฐบาล”
พญ.นิตยา ภานุภาค
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พญ.นิตยา เป็นห่วงเวลานี้คือผู้ที่ใช้สิทธิประกันสังคม ข้าราชการ จากเดิมที่เคยตรวจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 1 วัน พบเชื้อรับยาต้านได้ทันที หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งระงับความช่วยเหลือ 90 วัน ทางสถาบันก็อาจจะแบกรับไม่ไหว เพราะกระบวนการตรวจเลือดก่อนเริ่มยา เป็นเงินกว่า 2,000 บาท ซึ่งหมายถึงกระทบกับสถานการณ์ HIV ในประเทศไทย
เนื่องจากมองว่าเสน่ห์ของการจัดบริการสุขภาพโดยองค์กรภาคประชาสังคม หรือโดยประชาชน คือ ความเข้าอกเข้าใจวิถีชีวิตบริบทชีวิต ที่จะสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัดมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า และตอบโจทย์ประชาชน ที่ผ่านมามีบทเรียนในการที่จะพิสูจน์เรื่องนี้หลายครั้ง ทั้งสถานการณ์ HIV โควิด19 หรือไวรัสเอ็มพอกซ์ ได้รับการยอมรับจากสากล ดังนั้นหากไม่มีการทํางานคู่ขนานของภาคสังคมในเชิงสุขภาพ แล้วทั้งหมดถูกถ่ายโอนไปอยู่ในบทบาทของทางภาครัฐอย่างเดียว จะสามารถที่จะตอบโจทย์ในการจะไปยุติ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้
“เราไม่ได้บอกว่าเราดีกว่ารัฐ หรือรัฐดีกว่าเรา แต่เป็นการทํางานคู่ขนานกัน เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกําลังอยู่ในสภาวะวิกฤตเราก็จะต้องช่วยกัน เหมือนตอนโควิด19 ภาครัฐอยู่ในภาวะวิกฤต องค์กรและภาคประชาสังคมก็ลุกขึ้นมาพยายามที่จะสนับสนุนภาครัฐ เพื่อทําให้ระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศสามารถไปต่อได้ ดังนั้นในเวลานี้มีตรงไหนที่จะมาช่วยสนันสนุนกันได้ระหว่างทางตรงนี้ เราก็ควรที่จะหาทางออกร่วมกัน”
พญ.นิตยา ภานุภาค
‘มูฟดิ’ เตรียมเคลื่อนไหว ถามหาความชัดเจนรัฐบาลต่อจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชน
นอกจากงานด้านสุขภาพที่ได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีภาคประชาสังคมอีกหลายองค์กรในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากการถูกตัดงบฯ USAID ด้วยเช่นกัน เช่น คนทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ การถูกเลือกปฎิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐ การยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ ที่การให้บริการหรือกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ต้องหยุดชะงักลง

ภาคีฯ ในนาม เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (มูฟดิ) จึงจัดประชุมเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการทำงานข้ามองค์กร ทั้งในเรื่องทรัพยากร การเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความชัดเจนต่อจุดยืนของรัฐไทย และการสื่อสารกับสังคมเพื่อป้องกันอคติที่อาจจะเกิดขึ้น จากแนวคิดของโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ ที่ส่งผลไปทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้เกิดความเกลียดชังกับผู้ที่มีความแตกต่างหลากหลาย
“ถ้ามองแต่เรื่องเงินมันแคบมาก การที่มีปฏิบัติการหรือมีนโยบายแบบนี้ออกมา คือการตัดทอนความคิดฝันหรืออุดมการณ์ของหลายๆ คน ที่พยายามจะสร้างสังคมที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย หรือไม่เลือกปฏิบัติ คิดว่าเราทําอย่างนั้นมาตลอดไม่ว่าจะเป็นแหล่งงบฯ ไหน และคิดว่า NGO หลายๆ ที่ ก็พยายามที่จะทํางานตรงส่วนนี้ให้มากที่สุด ปิดช่องว่างที่รัฐไม่ได้มีงบประมาณมาแก้ปัญหาสังคม เราคิดว่านี่คือสิ่งสําคัญที่เราทํามาโดยตลอด”
จารุณี ศิริพันธุ์ กองอำนวยการมูฟดิ
หลังจากนี้เครือข่ายมูฟดิ เตรียมที่จะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี พรรคการเมือง และสถานทูต สถานกงสุลในประเทศไทย ถึงสถานการณ์เร่งด่วนในเวลานี้ ทั้งจุดยืนในการสนับสนุนการทำงานของภาคประชาสังคม และจุดยืนของประเทศไทยต่อการประกาศนโยบายของทรัมป์หลังจากนี้