เมื่อความสัมพันธ์เป็นของหายาก : Soul Connect Fest 2025 ชวนเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก

เปิดพื้นที่ให้ผู้คนที่เหนื่อยล้า ได้หันกลับมา connect กับตัวเอง คนรอบข้าง ปรับวิธีคิด ใช้ชีวิตด้วยสุขภาวะทางปัญญา อยู่ให้ได้ โดยไม่เกลียดชัง ไม่ทำให้ความสุขของคนอื่น กลายเป็นความทุกข์ของเรา

เรากำลังอยู่ในยุคที่มีความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น ความอดยากเริ่มจางหาย โรคร้ายแรงหลายอย่างหมดไปโลกด้วยวัคซีน ยาชั้นดี และเทคโนโลยีทันสมัย เราผ่านพ้นยุคสมัยของสงครามครั้งใหญ่มาแล้วเกือบร้อยปี แต่กลับเหลือไว้แต่เพียงสงครามภายในตัวมนุษย์เอง หนึ่งในนั้นคือเรื่อง “ความสัมพันธ์”

ในความสัมพันธ์ของมนุษย์มีคำกล่าวหนึ่ง คือ “การร่วมทุกข์ร่วมสุข” และบ่อยครั้งที่ความทุกข์กลายเป็นสิ่งที่จดจำได้มากกว่าในคู่ความสัมพันธ์ ผู้คนเรื่มแปลกแยกออกจากกันไปเรื่อย ๆ ทั้งกับคนรอบกายและตนเอง

ในวันนี้ ความสัมพันธ์ กลายเป็นของหายาก จะทำอย่างไรให้สังคมปัจเจกกลับมาเชื่อมโยงกันได้อีกครั้ง โดยไม่มีความเกลียดชัง รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น และใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย

หนึ่งในนั้น คือ “สุขภาวะทางปัญญา” เครื่องมือสำคัญที่จะได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมภายใน “มหกรรม Soul Connect Fest 2025 มหกรรมพบเพื่อนใจ ที่กำลังจะถึงนี้โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย

ในการแถลงข่าวมหกรรมดังกล่าว ยังได้มีเวทีเสวนา “Soul Connect : จิตวิญญาณการร่วมทุกข์และความหวัง” โดย ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สสส. ระบุว่า โลกเราตอนนี้มีความเปราะบาง ซับซ้อน คลุมเครือ และคาดเดาไม่ได้สูงมาก นำมาซึ่งความทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด การผ่านพ้นปัญหาไปเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องใช้การ connect กับผู้คน

“หลายปีก่อน มีคนถาม มาร์กาเรท มีด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ว่าอะไรคือสัญญาณแรกที่สะท้อนอารยธรรมของมนุษย์ คำตอบที่ได้หาใช่เครื่องปั้นดินเผา หรือเครื่องมือจับปลา แต่เป็นกระดูกต้นขาทีมีรอยแตกร้าวและได้รับการเยียวยาต่างหาก เพราะสำหรับสัตว์โลกแล้ว หากคุณกระดูกแตกหัก แปลว่าคุณต้องตายแน่นอน เพราะไม่สามารถหาอาหาร หรือหลบหนีอันตรายได้ การพบซากกระดูกต้นขาที่ได้รับการเยียวยาจึงสะท้อนว่ามนุษย์มีการช่วยเหลือเคียงข้างมนุษย์ผู้อื่นจนในภาวะยากลำบาก นั่นคือจุดเริ่มต้นของอารยธรรมศิวิไลซ์ชองมนุษย์ได้เริ่มขึ้นแล้ว” 

ญาณี รัชต์บริรักษ์

ญาณี เสริมว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่จำเป็นต้องเชื่อมโยงตัวเองและภายนอก กิจกรรมในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายในการเชื่อมมนุษย์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะกับผู้คนรอบข้างหรือกับตนเอง และเชื่อว่า “สุขภาวะทางปัญญา” จะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน คลี่คลาย และช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะยาว นี่จึงเปรียบเหมือนความหวังของสังคมและมนุษยชาติ

ให้ผู้คนอันเหนื่อยล้าได้หันกลับมา connect กับตัวเอง

สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา บอกว่า มหกรรม Soul Connect Fest 2025 ที่กำลังจะถึงนี้ถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยคอนเซปต์หลักในปีนี้ คือ HUMANICE ซึ่งเป็นการเล่นคำที่มีความหมายสื่อทั้งการมีมนุษยธรรมและมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน แต่ละกิจกรรมจึงมีเป้าหมาย ให้ผู้คนอันเหนื่อยล้าได้หันกลับมา connect กับตัวเอง คนรอบข้าง และสังคม ให้มีแรงออกเดินทางผจญภัยในโลกใบใหญ่ และเดินทางภายในตนเองไปพร้อม ๆ กัน 

“ทั้งหมดนี้ เราเรียกว่า สุขภาวะทางปัญญา ที่ประกอบด้วย กาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ แต่เราพบว่าคนในสังคมไม่ได้เชื่อมโยงกับคำเหล่านี้นัก เราอยากสื่อสารกับพวกเขาในฐานะเพื่อน จึงลองสำรวจดูว่าควรใช้คำไหนแทน และพบว่า soul เป็นคำที่คนรุ่นใหม่ connect ได้มากที่สุด”

สรยุทธ รัตนพจนารถ

สรยุทธ ย้ำว่า ในงานนี้ ไม่ได้จัดเพื่อคนมาทำงานกับความคิด หรือความรู้เท่านั้น แต่อยากให้ได้สัมผัส รู้สึก รู้จัก เข้าใจตัวเอง ในความหมายของตัวเอง จนไปถึงความหมายของชีวิต โดยความสัมพันธ์ของมนุษย์ ประกอบด้วย 3 มิติ ดังนี้

  1. Intrapersonal คือ self-awareness (การตระหนักรู้) self-reflection (การสะท้อนตนเอง)
  2. Interpersonal คือ การเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผู้อื่น
  3. Transpersonal คือ ความสัมพันธ์ที่ก้าวพ้นตัวตน ไม่สนใจเพียงแค่ตัวเอง แต่สนใจไปถึงโลกและสรรพสิ่งรอบกาย

ทั้งหมดนี้จะนำมาสู่ การเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก

HUMAN ร้าย

ขณะที่ สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายจิตอาสาในประเทศไทยให้ความเห็นว่า การหันกลับมาตระหนักและมองเห็นตนเองในสังคมสมัยนี้เป็นไปได้ยากมาก มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งซับซ้อน แต่จิตวิญญาณของมนุษย์กลายเป็นเรื่องลึกลับ นั่นเพราะเราไม่เคยมีเวลาทำความรู้จักและเข้าใจมัน โลกไม่มีพื้นที่เงียบพอที่จะเปิดบทสนทนา พอว่าง ก็ใช้เวลาไปกับการใช้โซเชียลมีเดีย มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมเหล่านี้เบียดเบียนเวลาในการที่มนุษย์หนึ่งคนจะเรียนรู้จักจิตวิญญาณข้างในของตัวเอง

“ปัญหาแทบทุกอย่างเกิดจากการที่มนุษย์ไม่รู้จักตัวเองและขัดแย้งภายในตัวเอง เมื่อเรารู้สึก burn out สับสน ก็ไม่รู้จะจัดวางตัวเองอย่างไร เพราะตอบตัวเองไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นเพราะเราไม่เคยเปิดบทสนทนากับกลไกด้านในของตัวเองเลย”

สมบัติ บุญงามอนงค์

อย่างไรก็ตาม สมบัติ ยังได้ยกตัวอย่างคำว่า “Human ร้าย” ที่พ้องมาจากคำว่า Human Right หรือ สิทธิมนุษยชน ว่า นี่คือความสัมพันธ์หนึ่งที่มนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้น และทำร้ายกันแม้กระทั่งตัวเอง

“มนุษย์มีสองด้าน ด้านมืดและด้านสว่าง เราต่างเป็นทั้งมนุษย์ที่ดุร้ายและใจอารีย์ในคนเดียวกัน อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะหันด้านไหนออกมาบ่อยกว่ากัน หากเขาหันด้านที่ดุร้ายให้เห็น ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีด้านที่อ่อนโยน”

สมบัติ บุญงามอนงค์

เขาเน้นย้ำว่า ปัญหาอีกอย่างของสังคม คือ การทำให้ความสุขของคนอื่นกลายเป็นความทุกข์ของเรา จากการเห็นชีวิตดี ๆ ในโลกออนไลน์ รวมถึงกระแสมนุษย์ท็อกซิกที่บ้างครั้งเป็นคนอื่น แต่บางครั้งเป็นตัวเราเองที่สั่นสะเทือนสังคมเรามากเหลือเกิน การปรับวิธีคิดจึงเป็นทักษะเพื่อให้เราไม่กลายเป็น Human ร้าย ต่อผู้อื่นและตนเอง

“จะเกิดปัญญาได้ คุณผ่านความทุกข์ก่อน ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่เราต้องเดินทางผ่านมัน อยู่ที่ว่าเราจะรับมือและใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้าง ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงทุกข์ เรามักจะหลีกหนีมัน นั่นเพราะเรามองมันแบบทื่อ ๆ แต่ในงานนี้ จะช่วยให้มนุษย์ที่สับสนเปราะบาง ได้มองเห็นความทุกข์ และทางออกในแบบของตัวเอง”

สมบัติ บุญงามอนงค์

ด้วยหลักคิดนี้เอง สมบัติ ยังให้ข้อมูลเพิ่มว่า ในงานดังกล่าว ทางมูลนิธิกระจกเงาได้จัดกิจกรรม 2 ประเด็น ได้แก่ การจัดการภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงภายในจากการทำงานอาสาสมัคร กล่าวคือ เมื่อผู้คนได้เดินทางผ่านความทุกข์ ความเศร้าอย่างหนักหน่วง จะสามารถเขย่าภายในของคนผู้นั้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในระดับจิตวิญญาณได้

“เราใช้หลักการที่เรียกว่า หลอมร้อน หากคุณเห็นชาวบ้านตีมีด เขาจะนำเหล็กไปเผาไฟ เปรียบเสมือนเวลาคนอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก กดดันมาก ๆ แล้วมีคนเอาค้อนมาทุบ แล้วเอาไปแช่น้ำเย็น ท้ายที่สุดจะได้มีดที่เข้ารูปเข้าคม นี่เป็นกระบวนการที่สำคัญมาก และอาสาสมัครก็ได้ผ่านกระบวนการเช่นนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมันเปลี่ยนสายตาที่เขามีต่อตัวเองและผู้อื่นได้จริง ๆ”

สมบัติ บุญงามอนงค์

ต้องอยู่ให้ได้ด้วยความไม่เกลียดชัง

สอดคล้องกับ นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้สังคมไทยเชื่อมต่อกัน เอื้ออาทรกัน ภายใต้ความหลากหลายต้องอยู่ให้ได้ด้วยความไม่เกลียดชัง สิ่งนี้จะทำให้มนุษย์อยู่รอด มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย มองเห็นตนเอง มองเห็นผู้อื่น และมองเห็นโลกไปพร้อมกัน

“มนุษย์จะรู้สึกมีคุณค่าได้ ต่อเมื่อเขารู้ว่าเขามีความหมายต่อผู้อื่น เราอยากให้พื้นที่แห่งนี้เป็นที่แห่งการค้นพบความต้องการ คุณค่า และความหมายของตัวเอง รวมไปถึงคุณค่าที่มีต่อสังคมด้วย”

นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

งาน มหกรรม Soul Connect Fest 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-2 มี.ค. 68 ณ ชั้น G และ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ และห้องประชุมชั้น 11 โรงแรมทริปเปิ้ล วาย กรุงเทพฯ

และยังเปิดรับอาสาสมัครอีกกว่า 500 ตำแหน่งสำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อร่วมสร้างพื้นที่แห่งประสบการณ์ที่อาจจะสั่นสะเทือนภายใน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคลและสังคมด้วย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active