ยัน ‘บัตรทอง’ ไม่ล่ม! เตรียมเสนอตั้ง คกก.กลางศึกษาต้นทุนโรงพยาบาล

ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก พร้อมแจงบริหารแบบ งบฯ ปลายเปิด กับหน่วยนวัตกรรม เพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วม ขณะที่ อัตราจ่ายผู้ป่วยใน รพ.ใหญ่ ไม่ใช่ 7,100 บาท ยืนยันที่ 8,350 บาท เตรียมทำข้อมูลเข้าบอร์ด สปสช. 

วันนี้ (26 พ.ค. 68) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษก สปสช. ชี้แจงว่า จากที่มีการระบุเรื่องงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง 30 บาท ว่าไม่เพียงพอและเสี่ยงล่มสลายภายใน 3 ปีนั้น สปสช. ขอย้ำว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก และขอยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล่มสลาย ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศในเรื่องนี้ และเป็นผลงานที่รัฐบาลนำไปเสนอในเวทีระดับโลกมาโดยตลอด และไทยก็ยังเป็นต้นแบบให้กับหลายๆ ประเทศที่กำลังจะทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนในประเทศ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘บัตรทอง’ ส่อล่มใน 3 ปี ? รพ.รัฐ 218 แห่งติดลบ

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.

รองเลขาฯ สปสช. ย้ำว่า มีหน่วยบริการสาธารณสุขภาครัฐทั้งกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ ภาครัฐอื่น ๆ ท้องถิ่น และเอกชนที่เข้มแข็งและให้บริการกับประชาชนด้วยใจอย่างเต็มที่เสมอมา แม้จะมีทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งตัวระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของระบบ 

รองเลขาฯ สปสช. ยังชี้แจงถึงตัวเลขอัตราจ่ายผู้ป่วยใน 7,100 บาทต่อ adj.RW นั้นเป็นการคำนวณจากจำนวนการใช้บริการผู้ป่วยในที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง สปสช. ได้นำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการงานและการบริหารจัดการกองทุนเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่ายืนยันอัตราจ่ายผู้ป่วยในที่ 8,350 บาทต่อ adj.RW และ สปสช. จะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ดังนั้นไม่มีการปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในเหลือ 7,100 บาทต่อ adj.RW อย่างแน่นอน 

ทั้งนี้ การที่งบประมาณการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในเป็นงบประมาณปลายปิด หรือ Global budget นั้น เนื่องจากเป็นไปตามแนวทางวิชาการของการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนใช้หลักการนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ ในส่วนของประเทศไทย เราใช้หลักการว่าต้องไม่ต่ำกว่า 8,350 บาทต่อ adj.RW หากปลายปีงบประมาณไม่เพียงพอให้เสนอของบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งในการจ่ายเงินให้กับหน่วยบริการนั้น สปสช. ได้รับงบประมาณมาเท่าไหร่ ก็จ่ายตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมายให้กับโรงพยาบาลไปทั้งหมด หากปีไหนมีเงินเหลือก็โอนเพิ่มให้โรงพยาบาลเช่นกัน เช่น ในปี 2561-2564 การให้บริการผู้ป่วยในลดลง ทำให้มีงบประมาณเหลือ สปสช. ก็จัดสรรเพิ่มเติมให้โรงพยาบาลไปทั้งหมด

ยกตัวอย่างในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา สปสช. ได้รับจัดสรรงบกลาง จำนวน 5,924 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ สปสช. จัดสรรค่าบริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1,705 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือได้นำมาจัดสรรค่าบริการผู้ป่วยในให้หน่วยบริการ ในอัตราไม่เกิน 8,350 บาทต่อ adj.RW 

อย่างไรก็ตามที่มีข้อเสนอให้ สปสช. ปรับเพิ่มอัตราจ่ายผู้ป่วยในนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า ในการเสนอของบประมาณแต่ละปีจากสำนักงบประมาณนั้น สปสช. ต้องทำข้อเสนอตัวเลขและมีฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานรองรับด้วย ดังนั้นการจะเพิ่มเป็นอัตราเท่าไหรจึงจะเหมาะสมกับต้นทุนของโรงพยาบาล และไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศนั้น ต้องมีการศึกษาและต้องเป็นหน่วยงานกลางที่เข้ามาทำหน้าที่นี้

ด้วยเหตุนี้ สปสช. จะทำข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ด สปสช. เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาศึกษาอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐต่อไป เมื่อได้คณะกรรมการที่เป็นกลางในการศึกษาแล้วจะทำให้เราได้ทราบข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลและสามารถคำนวณเป็นอัตราจ่ายที่เหมาะสมในการให้บริการต่อไป 

นอกจากนั้น เพื่อให้การจ่ายเงินกองทุนผู้ป่วยในมีประสิทธิภาพมากขึ้น สปสช. ได้มีการกำกับติดตามการเบิกจ่ายเงินหรือการตรวจสอบการจ่าย ซึ่งผลการตรวจนี้จะถูกใช้ในการเสนอของบประมาณกับสำนักงบประมาณ และ สปสช. ยินดีเข้าไปดูโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาการบันทึกข้อมูลในการเบิกจ่าย จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีการบันทึกตัวเลขทางบัญชีไม่ถูกต้องประมาณ 7,000 ล้านบาท หากมีการแก้ไขตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้ 

แจงกรณี งบฯ ปลายเปิด กับหน่วยนวัตกรรม เช่น ร้านยา  

ทพ.อรรถพร บอกด้วยว่า กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมงบประมาณการให้บริการนวัตกรรมจึงเป็นปลายเปิดนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า บริการนวัตกรรมเป็นบริการเสริมเพื่อลดภาระโรงพยาบาล เช่น เจ็บป่วยเล็กน้อยไปรับยาที่ร้านยาได้ ให้โรงพยาบาลได้รักษาโรคที่หนักกว่าหรือซ้ำซ้อนกว่า ที่ผ่านมาเราพบกว่าผลการให้บริการนวัตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ลดการไปโรงพยาบาลได้ และพบว่าประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้สิทธินี้กว่า 80,000 คน เท่ากับว่าเป็นการทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่ง่ายขึ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในกลุ่มนี้ได้ และการเป็นงบปลายเปิดเพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมให้บริการในระบบ 

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการมาระยะหนึ่ง สปสช. มีข้อมูลที่จะกำหนดจำนวนครั้งของการใช้บริการที่เหมาะสมในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งก็จะทำให้งบประมาณในส่วนนี้ไม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้บริการนวัตกรรมที่ สปสช. จำกัดจำนวนครั้งคือ ทำฟันที่คลินิกทันตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ให้ 3 ครั้งต่อคนต่อปี เป้าหมายเพื่อให้คนที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพฟันได้รักษาเร็ว และลดภาระโรงพยาบาล 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active