‘สมศักดิ์’ ย้ำ รพ.ไหนขาดทุน “ให้มาคุยกัน” พร้อมตั้งคณะศึกษาต้นทุนใหม่

ยืนยัน ระบบบัตรทอง ไม่มีวันล่มสลาย ชี้ เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ยิ่งทำ ยิ่งดีขึ้น ทั้งเพิ่มงบฯ รักษาทุกที่ ใช้ได้ที่ร้านยา และคลินิก ช่วยลดแออัดในโรงพยาบาล 

สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุชัดเจนว่า รัฐบาลไม่มีวันปล่อยให้ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง ล่มสลายแน่นอน พร้อมเชิญโรงพยาบาลที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนเข้าหารือโดยตรง เพื่อเร่งหาทางแก้ไขร่วมกัน ยืนยัน “ยิ่งมีปัญหา ยิ่งต้องพูดคุย” พร้อมเดินหน้าตั้งคณะกรรมการกลางศึกษาต้นทุนการรักษาและปรับอัตราการจ่ายใหม่

“โรงพยาบาลไหนมีปัญหาเรื่องการเงิน ให้มารายงาน หรือมาคุยกับผมโดยตรง ผมจะให้ผู้ตรวจราชการทั้ง 13 เขต ติดตามข้อมูลพื้นที่ หากพบว่า โรงพยาบาลไหนขาดทุน ให้แจ้งผมทันที”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

เร่งคลี่ปมงบฯ ผู้ป่วยในหลังคลาดเคลื่อน 8.37%

สมศักดิ์ ยังระบุด้วยว่า ปัญหางบประมาณผู้ป่วยในเกิดจากจำนวนผู้เข้ารับบริการจริงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเดิมมีการประเมินไว้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 9 ล้านจุด ในอัตรา 8,350 บาทต่อจุด แต่จำนวนผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นกว่าที่คำนวณไว้ถึง 8.37% ส่งผลให้ สปสช. จำเป็นต้องลดอัตราค่าจ้างให้แก่ผู้รับบริการจาก 8,350 บาท เหลือเพียง 7,100 บาท

เรื่องนี้จึงทำให้หน่วยบริการหลายแห่ง โดยเฉพาะคลินิกเอกชนที่รับจ้าง สปสช. ตื่นตระหนก คิดว่าจะขาดทุนหรือถึงขั้นล้มละลายนั้น รมว.สาธารณสุข ชี้แจงว่า ปัญหานี้เป็นผลจากการประเมินคลาดเคลื่อน ไม่ใช่ระบบล้มเหลว พร้อมเสนอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องของการจ่ายเงิน เพื่อคืนความมั่นใจให้หน่วยบริการทุกแห่ง

“ปากคนยาวกว่าปากกา บอกว่าระบบจะล่ม ทั้งที่ความจริงเป็นแค่ตัวเลขคลาดเคลื่อน ไม่ใช่เรื่องล้มละลาย หากคำนวณให้ตรง ทุกอย่างก็เดินต่อได้”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงสาธารณสุข

บอร์ด สปสช. เตรียมหารือตั้งคณะกรรมการกลางศึกษาต้นทุน

รมว.สาธารณสุข เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างรวบรวมข้อเสนอจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อศึกษาต้นทุนของโรงพยาบาลและอัตราการจ่ายเงินที่เหมาะสมต่อหน่วยบริการ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ “น่าสนใจและเป็นไปได้” โดยจะมีการนำเข้าหารือในที่ประชุมบอร์ด สปสช. เพื่อพิจารณาอย่างเป็นระบบ ก่อนเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังขอบคุณหน่วยบริการที่แสดงความคิดเห็นและเสนอแนะแนวทางพัฒนาระบบ โดยเห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดี แสดงถึงความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมของทุกฝ่ายในการผลักดันให้ระบบบัตรทองก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น

ยันนโยบายบัตรทอง “ยิ่งทำ ยิ่งดีขึ้น”

สมศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ตลอดที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงเดินหน้าเติมเต็มระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบกองทุน การเพิ่มทางเลือกการเข้ารับบริการในคลินิกเอกชนและร้านยา ด้วย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน และลดความแออัดในโรงพยาบาล

“ระบบนี้เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ไม่มีทางล่มแน่นอน เพราะเราเดินหน้าปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่การเข้าถึง งบประมาณ และคุณภาพบริการ”

สมศักดิ์ เทพสุทิน

สิทธิบัตรทอง ป่วยโควิด-19 มี 3 ช่องทาง 

ขณะที่ พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ (สปสช.) แนะนำผู้มีสิทธิบัตรทองที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่อาการไม่รุนแรง (กลุ่มสีเขียว) ให้เข้ารับบริการผ่าน 3 ช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในโรงพยาบาล และไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้แก่

  1. ร้านยาที่ร่วมโครงการ

  2. ระบบแพทย์ทางไกลผ่านแอปสุขภาพ

  3. “ตู้ห่วงใย” ใน 10 พื้นที่นำร่อง

รองเลขาธิการ สปสช. เปิดเผยอีกว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสีเขียว สปสช. จึงจัดบริการทางเลือกเพื่อให้การดูแลเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ช่องทางที่ 1: รับยาและคำแนะนำจากร้านยาใกล้บ้าน

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ โดยสังเกต สติกเกอร์ “30 บาทรักษาทุกที่” หรือ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” ซึ่งให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย รวมถึงโควิด-19 ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินอาการจากเภสัชกรและรับยาตามอาการ

ขั้นตอนเข้ารับบริการที่ร้านยา :

  1. แจ้งใช้สิทธิบัตรทองสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย

  2. แสดงบัตรประชาชนเพื่อยืนยันสิทธิ (กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ใช้สูติบัตรและบัตรประชาชนของผู้ปกครอง)

  3. เภสัชกรสอบถามประวัติอาการและจ่ายยาตามดุลยพินิจ

  4. ติดตามอาการในวันที่ 3 หลังรับยา

ค้นหาร้านยาที่เข้าร่วมได้ ที่นี่ : (เลือกประเภทร้านยาเจ็บป่วยเล็กน้อย)

ช่องทางที่ 2: พบแพทย์ออนไลน์ผ่านแอปสุขภาพ

ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง สามารถพบแพทย์ผ่านระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ได้เช่นกัน ผ่าน 3 แอปพลิเคชันที่ได้รับความร่วมมือจาก สปสช. ซึ่งรองรับผู้ป่วยได้ถึงวันละ 1,000 ราย และให้บริการดูแลครอบคลุม 42 กลุ่มโรค รวมถึงโควิด-19 พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้าน

แอปที่ให้บริการมีดังนี้:

1. Clicknic (คลิกนิก) โดยคลิกนิกเฮลท์ คลินิกเวชกรรม

• ไลน์ไอดี: @clicknic

2. Mordee (หมอดี) โดยชีวีบริรักษ์ คลินิกเวชกรรม

• ไลน์ไอดี: @mordeeapp

• ลงทะเบียน: https://form.typeform.com/to/qKY8gV4X

3. Saluber MD (ซาลูเบอร์ เอ็มดี) โดยสุขสบายคลินิกเวชกรรม

• ไลน์ไอดี: @smdthailand

ช่องทางที่ 3: “ตู้ห่วงใย” บริการแพทย์ทางไกลในพื้นที่นำร่อง

“ตู้ห่วงใย” เป็นนวัตกรรมบริการสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เชื่อมต่อกับระบบ Telemedicine เช่นกัน โดยขณะนี้มีจุดติดตั้งแล้วใน 10 พื้นที่ทั่วประเทศ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ ตู้ห่วงใย.com

ขั้นตอนใช้งานตู้ห่วงใย :

• เสียบบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตน

• วัดค่าต่าง ๆ ของร่างกาย

• พูดคุยกับแพทย์ผ่านระบบออนไลน์

• เลือกรับยาได้ทั้งจากร้านยาที่ร่วมโครงการหรือจัดส่งถึงบ้าน

ย้ำ! ไม่มี ‘ฟาวิพิราเวียร์’ หรือ ‘โมลนูพิราเวียร์’ สำหรับผู้ป่วยอาการน้อย

พญ.ลลิตยา ย้ำว่า ทั้ง 3 ช่องทางบริการนี้ออกแบบมาสำหรับดูแลผู้ป่วยสีเขียวตามแนวทางของกรมการแพทย์ จึงไม่มีการจ่ายยาต้านไวรัส “ฟาวิพิราเวียร์” หรือ “โมลนูพิราเวียร์” หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ให้ไปรับบริการที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ตามปกติ

โดยบริการเหล่านี้ได้เริ่มต้นในช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 โดยเฉพาะร้านยาและระบบ Telemedicine ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดี และต่อมายังได้ขยายบริการตู้ห่วงใย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางเลือกได้อย่างมั่นใจ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active