ไทยแลนด์แดน ‘คนเหงา’ 83% พบ 1 ใน 5 เชื่อว่า AI เข้าใจตัวเองดีกว่าคนรอบข้าง

เปิดงานวิจัยความเหงาในไทย ชี้ ชาวออฟฟิศในเมืองวิกฤตหนัก หวั่นนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว แนะเร่งแก้ไข เชื่อทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการรับฟัง

สังคมไทยกำลงเผชิญปัญหาสุขภาพจิตอย่างหนัก ความสนใจพุ่งเป้าไปที่โรคซึมเศร้า วิตกกังวลเป็นหลัก แต่สาเหตุหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บป่วย แต่ผู้คนยังละเลยและไม่ถูกพูดถึงมากนัก คือ ความเหงา

วันนี้ (8 ต.ค. 68) ภายในงานเสวนา “Lonely Nation : เปิดผลสำรวจความเหงาและความโดดเดี่ยวในสังคมไทย” โดย สสส. ร่วมกับธนาคารจิตอาสา และภาคีเครือข่ายสุข ณ สสส. เปิดเผยผลการวิจัยเรื่องความเหงา พบว่า คนออฟฟิศเหงามากที่สุดทุกช่วงวัย และมักเป็นคนที่อาศัยในเขตเมือง และคนไทยเลือกใช้ AI เยียวยาความเหงา พร้อมเสนอ 4 หลักการ ช่วยแก้ปัญหาความเหงาและโดดเดี่ยว

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดีและอาจารย์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำการงานวิจัยสำรวจความเหงาและความโดดเดี่ยวในสังคมไทย ผ่าน แบบวัดความเหงา เปิดเผยว่า ความเหงาเป็นอาการทางใจที่จะนำไปสู่ความวิตกกังวล เปรียบได้กับโรคทางกายอย่าง NCD ที่ยังไม่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่ส่งผลกับร่างกายเรื้อรังยาวนานและนำมาสู่โรคร้าย

งานวิจัยนี้ สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 864 คน (อายุ 18-75 ปี) ด้วยเครื่องมือวัดความเหงา UCLA Loneliness Scale V.3 นอกจากนี้ยังมีการวัดสิ่งที่ช่วยลดความเหงา 4 ตัวแปร ได้แก่

  1. Self-regulation

  2. Social Support

  3. Volunteering

  4. Meaning of life

โดยผลสำรวจ พบว่า คนไทยรู้สึกเหงามาก 18% เหงาปานกลาง 65% และเหงาน้อย 17% แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความรู้สึกเหงาสูงถึง 83% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก

“ในอเมริกา มีงานวิจัยเมื่อ 30 ปีก่อนชี้ว่า มีคนเหงา 17-18% เท่านั้น ในขณะที่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีตัวเลขระบุว่า มีคนเหงาถึง 40%”

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี

งานวิจัย ยังระบุอีกว่า ความเหงาไม่จำเพาะเจาะจงกับช่วงวัย เพศ และระดับการศึกษา ไม่ว่าอยู่ในบริบทไหนก็ต้องเจอกับความเหงาเหมือนกัน แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือ คนในเขตเมืองมีความเหงา 40.96% และคนนอกเมืองมีความเหงามากกว่า 37.95%

“ตัวเลขอาจดูไม่ต่างกันนัก แต่ในทางสถิติบ่งชี้อะไรหลายอย่าง ตอนนี้เรายังหาคำตอบไม่ได้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง แต่นี่เป็นตัวเลขที่ภาครัฐควรให้ความสนใจ”

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี

รศ.สมบุญ อธิบายต่อไปอีกว่า ความเหงาสัมพันธ์กับการมีความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง แต่ไม่ได้หมายความว่ายิ่งมีคนรอบข้างมากเท่าไร จะยิ่งช่วยลดความเหงาลงได้ และการแต่งงาน ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเรื่องความเหงาที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณภาพ ของความสัมพันธ์กับคนรอบตัวต่างหาก ฉะนั้น การมีความสัมพันธ์เชิงลึก (profound relationship) จึงสำคัญที่สุด

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดีและอาจารย์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

คนไทย 20% เชื่อ AI เข้าใจตัวเองดีกว่าคนในครอบครัว 

งานวิจัยยังถามลึกลงไปถึงเรื่อง AI โดยใช้คำถามที่น่าสนใจว่า “AI เข้าใจคุณดีกว่าคนในครอบครัวหรือไม่ ?” พบว่า คนไทยถึง 1 ใน 5 หรือ 20% ตอบว่า ใช่

“ตัวเลขนี้สำคัญ และน่าเจ็บปวดมาก เพราะนั่นหมายความว่า คนรอบตัวที่มีตัวตนจริง ๆ (significant person) ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่า AI ในฐานะนักจิตวิทยา ผมคาดหวังว่าตัวเลขนี้ควรเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในงานวิจัยยังมีการศึกษาอีก 4 ตัวแปรที่คาดว่าจะช่วยให้ลดความเหงาลงได้ พบว่า 

  1. Social Support (การสนับสนุนทางสังคม)  ช่วยลดความเหงาลงได้ 0.766

  2. Self-regulation (การกำกับตัวเอง) ช่วยลดความเหงาลงได้ 0.470

  3. Meaning in life (ความหมายในชีวิต) ช่วยลดความเหงาลงได้ 0.435

  4. Volunteering (การทำกิจกรรมอาสา) ช่วยลดความเหงาลงได้ 0.231

โดยรวมแล้ว ทั้ง 4 วิธี สามารถลดความเปลี่ยวเหงาได้ถึง 60% ซึ่งถือว่า เป็นตัวเลขที่เยอะมาก แต่รากฐานของวิธีลดความเหงาทั้งหมดนี้มาจากสิ่งเดียวกัน คือ การรับฟัง ซึ่งเป็นทักษะแรกที่นักจิตวิทยาทุกคนต้องฝึกฝน ในขณะที่การฟังเป็นทักษะที่ทำได้ไม่ยาก และไม่มีค่าใช้จ่าย ทักษะนี้สามารถสร้างให้กับทุกคนได้

“สังคมเราทุกวันนี้ห่างกันไปทุกทีทั้งที่มีผู้คนมากมาย เหมือนเราขึ้นลิฟต์ที่มีคนแน่น แต่เต็มไปด้วยคนไม่รู้จัก เราดูเหมือนอยู่ใกล้กันมาก แต่แท้จริงแล้วห่างไกลกเหลือเกิน”

รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี

สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา

สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา เห็นว่า ตอนนี้ผู้คนกำลังขาดการเชื่อมโยงตนเองกับสิ่งรอบตัว แต่ความสุขจะเกิดขึ้นได้จากการสุขภาวะทางปัญญา (spiritual health)  ได้แก่ การรู้จัก เข้าใจตนเอง-ชีวิต และการเห็นความเชื่อมโยงตัวเองกับผู้อื่น โลก และธรรมชาติ

เช่นเดียวกับ มณฑล กสานติกุล หรือ มิ้นท์ I Roam Alone คอนเทนต์ ครีเอเตอร์สายเดินทางท่องเที่ยว เล่าว่า เมื่อก่อนคิดว่าการบรรเทาความเหงาสามารถทำได้โดยการออกไปข้างนอก พูดคุย เดินทาง เพื่อพบเจอกับผู้คนจำนวนมาก แต่เมื่อกลับมาถามตัวเอง ก็พบว่าความเหงาไม่เคยจางหายไปเลย แต่เมื่อเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ความเหงาสัมพันธ์กับการเชื่อมโยงตนเองต่อโลกภายนอก

มณฑล กสานติกุล (มิ้นท์ I Roam Alone) คอนเทนต์ ครีเอเตอร์สายเดินทางท่องเที่ยว

“เมื่อก่อน พอเราเหงา เราก็โทรหาคนนั้นคนนี้ ต้องพูด ต้องระบาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว พอเราได้พบว่าเราเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นได้ แม้กระทั่งอากาศที่เราหายใจ มันทำให้เราคลายเหงา และเราไม่อยากเอาขยะของเราไปเทใส่ใคร เรารีไซเคิลตัวเองได้จากการเชื่อมโยงตังเองกับสิ่งอื่น”

มณฑล กสานติกุล

“เราคิดว่าความเหงาเป็นโจทย์จริงที่สังคมไทยต้องร่วมกันแก้ การฟัง เป็นจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้เพื่อให้เข้าถึงความสุข เป็นพื้นฐานให้รู้จักตัวเอง และนำไปสู่การดูแลผู้อื่น ทั้งการให้คำปรึกษา การเป็นพี่เลี้ยง หรืแแม้กระทั่งเป็นเพื่อนรรับฟังทุกข์สุขของใครคนหนึ่งก็ได้” 

สรยุทธ รัตนพจนารถ กล่าวเสริม

สอดคล้องกับ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่บอกว่า การเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงนำไปสู่การการจัดแคมเปญใน วาระเดือนการฟังแห่งชาติ ด้วยแนวคิด ทุกปัญหาดีขึ้นได้ด้วยการฟัง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการบริหารจัดการความเหงาผ่านทักษะดังกล่าวด้วยตัวเอง

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

โดยกิจกรรมจะมี 2 รูปแบบ ได้แก่

  1. กิจกรรมสร้างทักษะและการรับฟัง สำหรับบประชาชนทั่วไป โดยสามารถเข้าร่วมได้ผ่านเวบไซต์ https://listen.happinessisthailand.com/ โดยในเวบไซต์จะมีแบบทดสองเพื่อสังเกตพฤติกรรมตัวเอง ประเมินศักยภาพทักษะที่ต้องเรียรุ้ รวมถึงมีเนื้อหาให้เรียนรู้แบบ e-learning ทั้ง เกมฝึกฟัง (listening game) และ e-book ฟังสร้างสุข เพื่อเพิ่มทักษะการฟังแบบ interactive

  2. กิจกรรมสร้างพื้นที่รับฟังของแต่ละองค์กร โดยส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ มีกิจกรรมในการสร้างพื้นที่แห่งการรับฟังผ่านเครื่องมือ การ์ดฟังสร้างสุข (Listenian Card)

ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือองค์กร ก็สามารถใช้นวัตกรรมการ์ดฟังสร้างสุขได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ความสุขประเทศไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active