นักทำสารคดี – นักจิตวิทยา – นักออกแบบนโยบาย ชี้ ความหวัง คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เสนอลดค่านิยมเปรียบเทียบ สร้างสังคมปลอดภัยทางใจ สั่งจ่ายกิจกรรมทางสังคม ทุกอย่างเป็นไปได้หากวางแผนอย่างเป็นระบบ
“ในวันที่โลกดูเทา ๆ คุณมองโลกให้จอยขึ้นด้วยวิธีไหน ?”
โพลสำรวจจาก LINE TODAY วันที่ 5 ต.ค. 68 เผยผลสำรวจว่าผู้คนทำอย่างไรให้รู้สึกดีขึ้นในวันที่แย่ พบ 44.23% (อันดับสูงสุด) ตอบว่า คือ การยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด รองลงมา คือ การเชื่อในพลังของการมองโลกอย่างมีความหวัง
แต่การจะมองโลกอย่างมีความหวังในโลกสีเทา อาจยังเป็นเรื่องท้าทาย
วงสนทนาหัวข้อ Optimism: การมองโลกอย่างมีความหวัง ภายในงาน Better Mind Better Bangkok 2025 มีการพูดคุยเรื่องมุมมองที่มีต่อความหวังในโลกปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างต้องเผชิญกับแรงกดดัน ทั้งทางเศรษฐกิจและการเปรียบเทียบตัวเองในโลกโซเชียลมีเดีย ในสภาวะที่สุขภาพจิตคนไทยกำลังดิ่งลงเหวเช่นนี้ ทำอย่างไรจะประคองความหวังควบคู่ความหมายได้อย่างไม่เพ้อฝัน
มองความหวังในโลกที่ผันผวน
วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักทำสารคดี ผู้เดินทางในพื้นที่สงครามกว่า 90 ประเทศทั่วโลก เล่าว่า การที่ตนเองได้ลงทำงานในพื้นที่สงครามและความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความยากจน แม้จะทำให้มีโอกาสเห็นด้านมืดของมนุษย์ แต่สิ่งที่ได้เห็นคู่กันมาเสมอ คือ ความหวัง และพลังแห่งการปรับตัวของมนุษย์
“ไม่ว่าโลกจะลำบากหรือโหดขนาดไหน แต่ธรรมชาติของมนุษย์จะปรับเส้นมาตรฐานของตัวเองขึ้นเสมอ และความหวังจะอยู่เหนือเส้นนั้นไปอีก”

นักทำสารคดี
วรรณสิงห์ เล่าว่า สำหรับตนเอง ความหวัง ไม่ใช่คำโลกสวย แต่คือ แรงขับเคลื่อนของชีวิต (drive) ที่เชื่อว่าอนาคตจะดีขึ้นได้อีก
ด้าน กุลวดี ทองไพบูลย์ นักจิตวิทยาคลินิกและนายกสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย มองไปถึงความหวังในการทำงานฐานะนักจิตวิทยาคลินิก
กุลวดี ยอมรับว่า ตนเองต้องทำงานกับผู้ป่วยที่มีอารมณ์หลากหลาย ทั้งสุข ทุกข์ ซึมเศร้า และสิ้นหวัง จนบางครั้งตนเองก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เพราะการดูแลรักษาด้านจิตวิทยาต้องใช้เวลา ไม่ใช่เวลาแค่ 2-3 ครั้ง แต่หน้าที่ของนักจิตวิทยา คือ การคงความหวังไว้ให้กับคนไข้ ในวันที่พวกเขาไร้ความหวัง
“แม้ระหว่างทางจะหนักหนาสาหัส แต่ความหวังเล็ก ๆ ทำให้เราทำงานต่อไปได้ และเป็นหน้าที่ที่เราต้องส่งต่อความหวังให้คนไข้ แม้จะเป็นเพียงแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ปลายอุโมงค์ก็ตาม”
ในขณะที่ ผศ.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล นักวิชาการและนักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชวนมองความหวัง ไปในภาพที่ใหญ่ในระดับนโยบาย ว่าแท้จริงแล้วการออกแบบนโยบาย คือ การทำงานบนความหวัง ร่วมกับความหวังของผู้คนต่างหาก

นักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
“ผมเชื่อในเรื่อง hopefulness คือ ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ดีขึ้น”
ผศ.ธีรพัฒน์ มองว่าการทำงานด้านนโยบาย คือ การ “ทำงานบนความหวัง” ที่จะสร้าง ระบบนิเวศทางสุขภาพจิต ที่ดีขึ้น สร้างกลไกทางสังคมที่คอยสนับสนุนผู้คน และกระจายความรู้ให้ถึงทุกชุมชนที่ไม่ได้อยู่เพียงในห้องออกแบบนโยบาย แต่เกิดจากการลงพื้นที่ รับฟัง และเก็บเสียงของผู้คนอย่างรอบด้าน
“การทำนโยบายสาธารณะ เราต้องไปรับฟังว่าเขาอยากได้อะไร เจอปัญหาอะไร และมีความหวังอะไรที่จะให้มันดีขึ้น แล้วเราก็เก็บมันไว้ไม่ให้ตกหล่น แปรออกมาเป็นกรอบคิด เป็นข้อเสนอ เป็นนโยบายสาธารณะ”
อย่างไรก็ตาม ผศ.ธีรพัฒน์ เห็นว่าประเทศไทยยังมีการเข้าถึงด้านสุขภาพจิตที่ไม่เพียงพอ จึงต้องลงทุนกับการสร้างเสริมมากขึ้นด้วย
โดยเมื่อ 3 ปีก่อน มีการผลักดัน นโยบายภาพสุขภาพจิต ผ่านมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยเสนอแนวคิดใหม่ คือ “ระบบสุขภาวะทางจิต” (Mental Well-being System) นั่นคือ การ reframe มุมมองจาก การรักษา ไปสู่ การสร้างเสริม
ความหวัง คือ การทำให้ชีวิตมีความหมาย
วรรณสิงห์ เล่าว่า การทำงานสื่อในพื้นที่ความขัดแย้ง มีโอกาสได้เจอเพื่อนร่วมวิชาชีพจากประเทศต่าง ๆ ในสนาม และพบว่าทุกคนมี “แรงขับเดียวกัน” คืออยากเล่าเรื่องจริงที่สุด ความเลวร้ายของสงครามสร้างทั้งความเศร้าและความภูมิใจในเวลาเดียวกัน ที่ได้มีโอกาสเห็นด้านที่มืดที่สุดของโลกและได้สื่อสารออกมา
บ่อยครั้งที่ทำให้ตนเองตั้งคำถามว่า “สิ่งที่ทำยังมีความหมายอยู่หรือไม่” เพราะเมื่อก่อน ความหมายอาจมาจากยอดไลก์ ยอดวิว ที่เป็นตัวชี้วัดถึงเสียงตอบรับของผู้ชม

“รวมพลังสร้างความหวังในวันสุขภาพจิตโลก”
แต่วันนี้เขาเชื่อว่า ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกการกระทำควรมีความหมายบางอย่าง หลายสิ่งอาจไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องที่เรียบง่ายสามัญที่สุด อย่างการพาแม่ไปหาหมอ หรือพาน้อง ๆ ที่ออฟฟิศไปกินข้าว
“Bad Bad World เป็นการบำบัด (therapy) ขั้นใหญ่ของผม ทั้งหมดมันเริ่มมาจากการหาความหมายในชีวิตไม่เจอ
“การวิ่งเข้าหาสงคราม สัมพันธ์กับอีโก้ในวัยเด็กของผม ที่อยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่วันนี้ เราแข็งแรงขึ้น ปล่อยวางอีโก้ และไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นฮีโรที่ถือกล้องเข้าไปเสี่ยงตายอีกแล้ว”
วรรณสิงห์ เล่าต่อไปอีกว่า ตนเองใช้เวลา 3 ปี ในการผลิตสารคดีและต้องห่างหายไปจากหน้าจอ สิ่งนี้ทำให้เขาได้ฝึกการเป็น nobody และทำให้ปล่อยวางไปได้ในตัว
“วันนี้ผมอาจเป็นหนุ่มวัยกลางคนธรรมดาที่นอนอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหมา มันทำให้เราได้วางใจว่า สิ่งปกติธรรมดาในชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีความหมายได้เช่นกัน”
ด้าน กุลวดี เห็นด้วยว่า ตัวเลขบนโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งที่ทำให้เราหลงทาง ไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนเส้นทางแบบไหน แต่หากต้องเผชิญกับการเปรียบเทียบ หรือยอดไลก์ ยอดวิว อาจนำไปสู่ความสิ้นหวัง เมื่อไหร่ที่รู้สึกเช่นนั้น ขอให้ลองหันย้อนมองกลับมาที่ใจตัวเองว่า เราเริ่มต้นสิ่งเหล่านี้เพราะอะไร

นักจิตวิทยาคลินิกและนายกสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย
“เราเคยมีวันที่ท้อที่สุดเหมือนกัน แต่พอลองย้อนกลับมามองว่าเข้ามาทำงานนี้ทำไม เพื่ออะไร มันจะทำให้เราเจอกับสิ่งที่เป็นความหมายของเราจริง ๆ ความหวังเป็นสิ่งที่หมดได้ แต่ก็มีต่อไปได้เรื่อย ๆ อยู่ที่ว่าเราจะหล่อเลี้ยงมันอย่างไร”
มองความหวัง แบบขั้นบันได
ผศ.ธีรพัฒน์ มองว่า ความหวังไม่ใช่เรื่องความเพ้อฝันหรืออุดมคติที่เกิดขึ้นชั่วพริบตา แต่ต้องมาจากการลงมือทำอย่างต่อเนื่องด้วยความเข้าใจและเป็นระบบ พร้อมเน้นย้ำว่า ความหมาย คือ หัวใจสำคัญของการทำงานกับความหวัง เพราะเมื่อใดที่คนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมีความหมาย หรือสิ่งนั้น ช่วยให้เขาค้นพบความหมายในชีวิต นั่นเอง คือจุดที่ “ความหวัง” เริ่มเติบโต
“อะไรที่ทำแล้วคนรู้สึกว่ามีความหมาย หรือช่วยให้เขาค้นพบความหมาย นี่คือจุดสำเร็จของการทำงานกับความหวัง” ผศ.ธีรพัฒน์ เปรียบเทียบว่า การเดินทางนี้ก็เหมือนการไต่บันไดที่ต้องก้าวไปทีละขั้น
ขั้นแรก คือ การเข้าใจ
เข้าใจว่าความหวังนี้ มีควาาสัมพันธ์กับอะไรบ้าง โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับปัญหาที่เผชิญอยู่ เพราะถ้าเข้าใจความซับซ้อนของปัญหา เราจะรู้ว่าต้องทำงานกับมันตรงไหน ไม่เช่นนั้นปัญหาใหม่จะงอกออกมาเรื่อย ๆ จากสิ่งที่เรากำลังทำ
ขั้นที่สอง คือ การวางแผน และออกแบบสภาพแวดล้อม
เพราะการออกแบบสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างพื้นที่ให้หวัง และพื้นที่นี้จะโอบอุ้มผู้คนให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย เช่น การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ ออกแบบนวัตกรรม เหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแห่งความหวังเช่นกัน
ขั้นที่สาม คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน
เพราะความหวังไม่เกิดจากใครคนเดียว แต่ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกคนในสังคม
“การทำงานกับความหวังไม่ใช่การปีนขึ้นยอดเขาสูงชัน แต่คือการไต่บันไดทีละขั้น ลงมือทำ สร้างการมีส่วนร่วมให้พวกเขามีความหมาย”
ผศ.ธีรพัฒน์ ย้ำ
เสนอ ลดค่านิยมเปรียบเทียบ – สร้างสังคมปลอดภัยทางใจ – สั่งจ่ายกิจกรรมทางสังคม
หากถามถึงความหวังด้านสุขภาพจิตที่อยากเห็นในอนาคต วรรณสิงห์ มองว่า เรากำลังอยู่ในวัฒนธรรมแห่งการแข่งขันและเผชิญกับความกดดัน ผ่านคัลเจอร์และโซเชียลมีเดีย
แต่การวิ่งตามและเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยอดไลก์ ยอดวิว เป็นสิ่งที่ทำให้ลดทอนและทำลายคุณค่าและความหมายของงานที่ตัวเองทำ ทั้งที่สิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวมันตั้งแต่แรกแล้ว
เช่นเดียวกับ กุลวดี ที่มองว่า คนไทยกำลังมีคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพจิตที่ไม่ดีนัก พร้อมกับความหวังว่าวันข้างหน้าสังคมไทยจะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางสุขภาพจิตได้มากกว่านี้

“รวมพลังสร้างความหวังในวันสุขภาพจิตโลก”
“เราอยากให้สังคมไทยปลอดภัยพอที่จะแสดงความเปราะบางต่อกันได้โดยไม่ตัดสิน ถ้าวันนี้คนรุ่นเราเราทำมันอย่างมีความหวัง และไม่หยุดนิ่ง แม้จะไม่เห็นผลในรุ่นเรา แต่มันจะผลิดอกออกผลในรุ่นถัด ๆ ไป เหมือนการส่งไม้ต่อ จากรุ่นสู่รุ่น”
แต่ปัญหาคือ ระบบสุขภาพจิตบ้านเรากำลังทำงานแยกส่วน จึงต้องผลักดันทั้งองคาพยพให้กลายเป็นนโยบายหลักของประเทศ และปัญหาเรื่องการมีจำนวนบุคคลากรไม่เพียงพอยังคงแก้ไม่ได้ในเร็ววัน การเน้นที่การป้องกัน ส่งเสริมอย่างเหมาะสมตามวัย จึงเป็นทางออก และไม่จำเป็นต้องรอทำกับคนจำนวนมาก ๆ เพียงแค่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับคนเพียงคนเดียว ก็มีความมหมายมากแล้ว
“ควรมีการให้เครื่องมือด้านสุขภาพจิตให้ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อมีอะไรกระทบใจ จะแค่เซ แต่ไม่ล้ม”
กุลวดี อธิบาย
ด้าน ผศ.ธีรพัฒน์ เห็นพ้องและเสนอเรื่องการสร้าง ecosystem ของนโยบายสุขภาพจิตผ่านแนวคิด การสั่งจ่ายกิจกรรมทางสังคม (Social Prescribing) หรือ การให้คนได้ทำกิจกรรมทางสังคมควบคู่กับการรักษาด้วยยา วิธีนี้จะเป็นการพาให้คนเข้าไปค้นพบตัวเองผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านผู้เชื่อมความหวังที่เรียกว่า Link worker
ข้อเสนอนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปรับเพียงแค่นโยบายเดียว แต่ต้องปรับทิศทางของนโยบายทั้งระบบ
“สิ่งเหล่านี้จะพาให้คนไปเจอกับความหมายของชีวิต หรือรื้อฟื้นความหมายชีวิตที่หล่นหายขึ้นมาใหม่ เป็นการมองความหวัง ให้เป็นมาตรการทางนโยบาย นี่เป็นภาพที่เราหวังจะให้เกิดอย่างมากในบ้านเรา”
ผศ.ธีรพัฒน์ ทิ้งท้าย
วงเสวนานี้ เป็นส่วนหนึ่งในงาน Better Mind Better Bangkok 2025 ครั้งที่ 4 “รวมพลังสร้างความหวังในวันสุขภาพจิตโลก” ที่จัดขึ้นภายใต้ธีม “HOPE – ความหวัง” เพื่อร่วมมองหาความเป็นไปได้ของ “นโยบายสุขภาพจิตเพื่อสังคมเมือง” ณ สามย่านมิตรทาวน์