องค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคม ย้ำการออก พ.ร.ก. เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของมนุษย์ สิทธิมนุษยชนและระบอบประชาธิปไตย ไม่อนุมัติ พ.ร.ก.
วันนี้ (17 ก.พ. 2566) 19 องค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคม แถลงการณ์ร่วม คัดค้านมติ ครม.ที่เห็นชอบให้ตรา พ.ร.ก. แก้ไข พ.ร.บ.ทรมาน-อุ้มหาย ขัดรัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พ.ศ. …. ที่ให้แก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผลบังคับในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยให้เลื่อนการบังคับใช้ มาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 และมาตรา 25 ออกไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
องค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคม เห็นว่า มติ ครม.ดังกล่าวกล่าว ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เนื่องจากเหตุในการออกพระราชกำหนดตามมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญนั้น ต้องเป็น “กรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้” แต่ร่างพรก.ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มิได้เป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะ ผบ.ตร. เคยออกคำสั่งที่ 178/2564 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กล้องติดตัว บันทึกภาพและเสียง ขณะทำการตรวจค้นจับกุมและการสอบสวน มาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว ทั้งการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไป ก็มิใช่เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 172 แห่งรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอที่ ครม. จะตราพระราชกำหนดเพื่อเลื่อนการบังคับใช้ออกไป
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เป็นกฎหมายที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันประชาชนจากอาชญากรรมที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ การกระทำทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการบังคับให้บุคคลสูญหาย การที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไป แม้เป็นเพียงบางมาตรา แต่เป็นมาตราที่กำหนดมาตรการที่สำคัญในการปกป้องคุ้มครองประชาชนจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ โดยการตราพระราชกำหนดที่ขดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในครั้งนี้นั้น แสดงให้เห็นถึงความ “ไม่เต็มใจ” (unwilling) ของรัฐบาลในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีนานาชาติอย่างยิ่ง
องค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคม ดังรายนามท้ายแถลงการณ์นี้ จึงขอเรียกร้องให้
1. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตามหลักวิชาการและกฎหมายโดยเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีว่า การออก พ.ร.ก. เพื่อเลื่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 24 มาตรา 25 ออกไปเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
2. ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาไม่อนุมัติ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ด้วยความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของมนุษย์ สิทธิมนุษยชนและระบอบประชาธิปไตย
สำหรับองค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคม ผู้ร่วมแถลงการณ์ประกอบด้วย
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF)
- สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
- กลุ่มด้วยใจ
- สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
- กลุ่มนอนไบนารีแห่งประเทศไทย
- คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
- มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
- เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD
- เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี HAP
- ศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภาคอีสาน (ศสอ.)
- มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
- มูลนิธิสายเด็ก 1387
- มูลนิธิสถาบันเพื่อการรวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี
- มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ (FAR)
- คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35
- ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR)
- มูลนิธิส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนยชน (pro-rights)
- มูลนิธิรักษ์เด็ก
- มูลนิธิเพื่อยุติการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก