ภาคประชาสังคมภูมิภาคเอเชีย เรียกร้องทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงหยุดยิง!

ชี้ ความขัดแย้งก่อให้เกิดข้อมูลที่บิดเบือน การเลือกปฏิบัติ จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง หวั่นเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของภูมิภาคนี้  

เครือข่ายประชาสังคมในหลากหลายประเทศของภูมิภาคเอเชีย ในนาม เครือข่ายสันติภาพข้ามพรมแดน (Peace Beyond Borders Network: PBBN) และเครือขายสถาบันวิชาการสันติศึกษาองค์กรด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า แม้ประกาศหยุดยิงไปแล้วเมื่อ 28 ก.ค. 2568 แต่จากการรายงานข่าวแนวหน้าในพื้นที่ พบว่า การสู้รบที่ยังคงดำเนินอยู่ ส่งผลให้นำไปสู่การสูญเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น การพลัดถิ่นของชุมชนที่ยืดเยื้อ และเกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนตามแนวชายแดน

จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาและไทย ยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และให้ความสำคัญกับการปกป้องพลเรือนของทั้งสองฝ่ายผ่านข้อเสนอ 6 ประเด็น 

  1. การปฏิบัติตามพันธกรณีการหยุดยิงและปฏิบัติตามแนวทางทางการทูตเพื่อยุติความขัดแย้ง ปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดต้องยุติลงโดยไม่ชักช้าและไม่มีเงื่อนไข เราขอเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยยืนยันในการเจรจาระดับทวิภาคีและการเจรจาที่มีฝ่ายที่สามซึ่งได้รับความไว้วางใจจากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเป็นผู้อำนวยความสะดวก เส้นทางสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนอยู่ที่การทูต ไม่ใช่การเผชิญหน้าด้วยอาวุธ

  2. การธำรงไว้ซึ่งกฎหมายและหลักการด้านมนุษยธรรม การรับรองความคุ้มครองต่อพลเรือน และการอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด การคุ้มครองพลเรือนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน เราเรียกร้องให้องค์กรด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงเพื่อให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบและประชากรพลัดถิ่นได้อย่างราบรื่น เรายึดถือหลักสิทธิมนุษยชน การสร้างสันติภาพอย่างครอบคลุม และการไม่เลือกปฏิบัติเป็นหัวใจสำคัญ โดยเชื่อว่าสันติภาพที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคู่ขัดแย้งปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศที่รับประกันความเท่าเทียม ส่งเสริมการมีส่วนร่วม การไม่เลือกปฏิบัติ และสร้างความรับผิดชอบต่อการฟื้นฟูและการบริหารจัดการหลังความขัดแย้ง

  3. การตระหนักถึงมรดกและความเชื่อมโยงร่วมกัน ประเทศไทยและกัมพูชา ไม่เพียงแต่มีพรมแดนทางกายภาพร่วมกันเท่านั้น แต่ยังมีความผูกพันทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีอันล้ำค่าร่วมกันอีกด้วย ประชาชนทั้งสองประเทศต่างมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง หลายครอบครัวตามแนวชายแดนมีความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้องข้ามพรมแดน ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนี้ควรเป็นรากฐานของความเข้าใจ ความเคารพ และความร่วมมือ ไม่ใช่ความขัดแย้ง

  4. การธำรงไว้ซึ่งหลักเมตตาและกรุณาตามหลักพระพุทธศาสนา ในฐานะประเทศที่ต่างก็มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ทั้งกัมพูชาและไทยต่างมีรากฐานอยู่บนหลักคำสอนเรื่องศีลห้า (ปัญจศีล) ซึ่งรวมถึง การงดเว้นจากการคร่าทำลายชีวิต การงดเว้นจากการพูดเท็จ ความเมตตาและกรุณา หลักการเหล่านี้ก้าวข้ามความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา และเรียกร้องให้เราแสวงหาทางแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ ปลูกฝังความเข้าใจและบรรเทาความทุกข์ยากในยามที่เกิดความขัดแย้ง การยึดมั่นในคุณค่าเหล่านี้และมุ่งสู่การปรองดองร่วมกันจึงมีความสำคัญยิ่ง

  5. ความมุ่งมั่นต่อการเจรจาระยะยาวเพื่อแก้ไขที่รากฐานของความขัดแย้ง แม้ว่าการลดความตึงเครียดในทันทีจะเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าสันติภาพที่ยั่งยืนย่อมต้องอาศัยความมุ่งมั่นในการเจรจาระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งสองประเทศร่วมกันหารืออย่างรอบด้านเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงประวัติศาสตร์และปัญหาดินแดนที่เป็นรากฐานของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

  6. การมีส่วนร่วมของสื่อทั้งในระดับประเทศและนานาชาติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ สื่อทั้งในระดับประเทศและนานาชาติมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ โดยการปฏิบัติหน้าที่สื่อสารมวลชนอย่างมีจริยธรรม การรายงานที่แม่นยำ และการนำเสนอข่าวที่สมดุลและคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ 

ทั้งนี้เพื่อลดทอนปัญหาความขัดแย้ง สื่อต้องยึดมั่นในหลักการแห่งความจริง ความเป็นกลาง และความเคารพต่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การหลีกเลี่ยงการบิดเบือนข้อมูลและการนำเสนอข่าวที่เกินจริง จะเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงคู่ขัดแย้ง

พร้อมเน้นย้ำความพยายามในการสร้างสันติภาพ การแก้ไขปัญหาที่สาเหตุต้นตอ ตลอดจนส่งเสริมการอภิปรายสาธารณะอย่างรอบรู้ สื่อต้องให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สาธารณะมากกว่าผลประโยชน์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทางการค้า เปิดโอกาสให้สังคมได้รับฟังเสียงของกลุ่มคนชายขอบที่ถูกกีดกัน และยึดมั่นในมาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความปรองดองในระยะยาว

“เราทั้งหลายเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง จะมีก็แต่เพียงการสูญเสียและความทุกข์ยากลำบากร่วมกันที่ยืดเยื้อเท่านั้น สันติภาพที่ยั่งยืนสามารถเป็นไปได้ด้วยความเข้าใจกัน การประนีประนอม การยึดมั่นในหลักการของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับระหว่างประเทศ และความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการแก้ไขความแตกต่างด้วยสันติวิธี

ขณะที่ เครือข่ายสถาบันวิชาการสันติศึกษา องค์กรด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน ก็มีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมเรื่องการสื่อสารในภาวะความขัดแย้งเช่นนี้ว่า ให้สื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้วยความรับผิดชอบ ยึดหลักความถูกต้อง รอบด้าน และเป็นธรรม เปิดพื้นที่การสื่อสารที่ปลอดภัยสื่อพึงระมัดระวังการใช้ถ้อยคำที่เป็นการยั่วยุ เร้าอารมณ์ หรือมีอคติ และขอให้สังคมใช้วุฒิภาวะในการรับฟังข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน ตระหนักและรู้เท่าทันข่าวสารและความคิดเห็นที่แฝงอคติหรือยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง เปิดพื้นที่การสื่อสารที่ปลอดภัยด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อรวมกันแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยวิถีทางแห่งสันติภาพความขัดแย้งทำให้ผู้คนเชื่อว่า ไม่มีทางเลือกอื่นในการตอบโต้ความรุนแรงนอกจากการใช้ความรุนแรง แต่ประชาชนทั้งสองประเทศมีทางเลือกเสมอ

ขอรัฐบาลทั้งสองเคารพข้อตกลงหยุดยิง เพื่อใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เรียกร้องให้มีตัวกลางทางการทูตเพื่อตรวจสอบขอเท็จจริงอย่างโปร่งใส และไม่เลือกข้าง วอนประชาชนทั้งสองประเทศหยุดการประณามเหมารวม และสื่อสารความเกลียดชังต่อกัน พร้อมฝากความหวังให้สื่อยึดหลักความรับผิดชอบทางวิชาชีพ ไม่ส่งต่อข่าวลวง และการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อเป็นพื้นที่การสื่อสารที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active