“ขอความร่วมมืออย่างเท่าเทียม” ภาคประชาสังคม วอน รัฐช่วยพยุง ปม USAID ถูกตัดงบฯ  

องค์กรภาคประชาสังคมด้าน HIV, LGBTQ+ และ แรงงานบริการ สะท้อนผลกระทบ ความเดือดร้อน ชี้ บางโครงการฯ ถูกเบรค บุคลากรไม่ได้รับค่าตอบแทน เสี่ยงหยุดบริการจำเป็น หวั่นกระทบผู้รับบริการ ขณะที่ กสม. เตรียมยื่น นายกฯ อย่าเพิกเฉย ด้าน สปสช. เล็งใช้ ม.47 หนุนงบฯ หลักประกันสุขภาพท้องถิ่น

วันนี้ (27 ก.พ. 68) The Active และ เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) และภาคีเครือข่าย ร่วมจัดเวที Public Forum เปลี่ยนระบบสุขภาพไทย ให้ไร้การเลือกปฏิบัติ

ส่องผลกระทบหลัง USAID ถูกตัดงบฯ

จารุณี ศิริพันธุ์ เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) กังวลผลกระทบจากการตัดงบประมาณของ USAID โดยจากการสำรวจความคิดเห็นขององค์กรที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก USAID พบว่า หลายกลุ่มได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานด้าน HIV, LGBTQ+ และความหลากหลายทางเพศ รวมถึงกลุ่มที่ทำงานในพื้นที่ชายแดน เช่น แม่สอด ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์

สำหรับการสำรวจครั้งนี้ จัดทำขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีการตัดงบประมาณ โดยเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้ประชุมและออกแบบแบบสำรวจสั้น ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้น แม้ว่าจะไม่สามารถเก็บข้อมูลจากทุกองค์กรได้ทั้งหมด แต่ผลสำรวจก็สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น 

  • โครงการที่เกี่ยวข้องกับ DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) ถูกยกเลิกหรือระงับ 91.75% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า โครงการที่เกี่ยวข้องกับ DEI ถูกยกเลิกหรือพักโครงการเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และยังไม่มีความชัดเจนว่าในเดือนถัดไปจะเป็นอย่างไร

  • ขาดงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม องค์กรไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร ไม่มีงบประมาณสำหรับค่าเช่าสำนักงาน ขาดงบประมาณในการให้บริการด้านสุขภาพ

  • จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่ที่ประมาณ 8,500 – 10,000 คน บุคลากรที่ได้รับผลกระทบ เช่น ถูกเลิกจ้างหรือลดเงินเดือน มีจำนวนมากกว่า 200 คน งบประมาณที่ได้รับผลกระทบรวมอยู่ที่ประมาณ 24 ล้านบาท และคาดว่าผลกระทบอาจขยายต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
จารุณี ศิริพันธุ์ เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED)

หวั่นขับเคลื่อนกฎหมาย-นโยบาย ถอยหลัง

พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) บอกว่า ตอนที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับคำสั่งของ USAID สิ่งแรกที่กังวลก็คือ การบริการจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ? แม้ว่าสุดท้ายแล้ว บริการยังคงต้องดำเนินต่อไปก็ตาม ถึงแม้ว่าตั้งแต่คำสั่งมีผลเมื่อวันที่ 24 มกราคม เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ที่ทำงานตามปกติยังไม่ได้รับเงินเดือนเลยก็ตาม แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อ ไม่มีใครสามารถหยุดให้บริการได้

“สิ่งที่เราต้องคิดต่อก็คือ เราจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ? บริการอาจยังดำเนินต่อไป แต่เจ้าหน้าที่ของเราจะอยู่ได้อย่างไร ? ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน จะจัดการอย่างไร ?”

พญ.นิตยา ภานุภาค 

อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ งานที่ทำไม่ได้มีแค่การให้บริการทางตรง แต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อนทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คน รวมถึงการทำงานกับนักการเมืองและผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งหากงานเหล่านี้ต้องหยุดชะงัก อาจไม่ได้สูญเสียแค่บริการด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ความก้าวหน้าทางกฎหมายและนโยบายอาจถอยหลังไปด้วย

คำถามต่อมาก็คือ องค์กรจะอยู่รอดได้อย่างไร ? องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ไม่มีเงินสำรองหรือ “สายป่าน” ยาวพอที่จะรองรับสถานการณ์เช่นนี้ จึงต้องตัดสินใจแบบวันต่อวัน และมาตรการเร่งด่วนที่ทำได้ในตอนนี้ คือ

  1. ลดค่าใช้จ่ายทันที โดยการยกเลิกสำนักงาน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
  2. ลดเงินเดือนบุคลากรทุกคน ให้สามารถประคับประคององค์กรไปได้

จากการสำรวจในองค์กร มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 90 คน โดย 40 คน ได้รับเงินสนับสนุนจาก USAID ซึ่งหมายความว่า เกือบครึ่งหนึ่งขององค์กรสูญเสียแหล่งเงินทุน ไปโดยสิ้นเชิงอาจต้องถูกเลิกจ้าง เนื่องจากไม่มีเงินสนับสนุน แต่คงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะคนเหล่านี้เป็นหัวใจของการทำงาน แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ ? ในช่วงเวลานี้ ทั้งโลกกำลังเผชิญปัญหาด้านงบประมาณ

การตัดงบประมาณครั้งนี้ ยังกระทบต่อประชากรหลากหลายกลุ่ม ซึ่งในแบบสอบถามแทบจะเลือก “ทุกกลุ่ม” เพราะคนที่ทำงานด้วยไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว เช่น

  • คนที่มีภาวะพึ่งพิงยาเสพติด
  • แรงงานข้ามชาติ
  • กลุ่ม LGBTQ+

การตัดงบฯ ของ USAID ส่งผลให้ โครงการที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศต้องถูกยุติ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมาก เพราะนี่คือหัวใจของการทำงาน

พญ.นิตยา ยังตั้งคำถามว่า อะไรคือแนวทางความยั่งยืนขององค์กร ? เมื่องบประมาณที่มาจากแหล่งภายนอกอาจไม่มั่นคง ดังนั้นควรพึ่งพางบประมาณที่สามารถ ควบคุม และบริหารจัดการเองได้ หรือไม่ ? จะสามารถหาทางสนับสนุนจากภายในประเทศ เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้หรือไม่ ?

สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING)

ขณะที่ สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) บอกว่า สิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ “การให้บริการ” จึงยังคงเดินหน้าทำทุกอย่างเหมือนเดิม แม้ว่าภายในจะเจ็บปวดอย่างมาก โดยความเจ็บปวดนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ได้รับแจ้งให้ หยุดบริการทั้งหมด และ งบประมาณทั้งหมดถูกตัดทันที วันนี้นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนเต็ม แล้วที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้

สุรางค์ มองว่า สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการไม่ได้รับเงินเดือน คือ ผลกระทบต่อผู้รับบริการ ในวันที่กำลังให้บริการอยู่ มีผู้รับบริการมาต่อหน้า และที่หนักที่สุดคือ บริการตรวจ HIV โดยชุมชน ซึ่งปกติแล้ว หากพบเชื้อ ผู้รับบริการสามารถเข้ารับยาต้านไวรัสได้ทันที

“ในอดีต เมื่อตรวจพบเชื้อ ผู้รับบริการมักจะรู้สึกเครียดและหวาดกลัว แต่สิ่งที่ช่วยให้พวกเขามีกำลังใจคือ การได้รับยาทันที เพราะมันหมายถึงการเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างทันท่วงที แต่ในวันนั้น เราต้องบอกผู้รับบริการที่เพิ่งทราบว่าตนเองมีเชื้อว่า เราไม่สามารถให้ยาต้านไวรัสได้อีกแล้ว เขาร้องไห้อยู่ตรงหน้าเรา และพนักงานของเราก็ต้องรับมือกับทั้ง ความเจ็บปวดของตัวเองและของผู้รับบริการไปพร้อมกัน”

สุรางค์ จันทร์แย้ม

ผอ.มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ ย้ำว่า สิ่งที่ยากที่สุดคือ บุคลากรที่ทำงานในคลินิก พวกเขาไม่เพียงต้องรับมือกับความเสียใจและความผิดหวังของผู้รับบริการ แต่ยังต้องเผชิญกับ แรงปะทะและความกดดันมหาศาล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำกันในองค์กรคือ ต้องตัดสินใจร่วมกันทันทีว่า จะเดินหน้าต่อไป ตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เป็นสวัสดิการ หรือเดินหน้าทำงานต่อโดยไม่รอคำตอบจากใคร

“ผ่านมา 1 เดือนแล้ว เรายังไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จากผู้บริหารของประเทศ ไม่มีคำตอบว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ไม่มีคำตอบว่าแนวทางแก้ไขปัญหานี้คืออะไร”

สุรางค์ จันทร์แย้ม

แม้ว่าในระบบของประเทศไทย คนไทยสามารถรับยาต้านไวรัส HIV ได้ฟรี แต่การตัดงบประมาณนี้ ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อการเข้าถึงยาในกลุ่มเปราะบาง ปัญหาสำคัญคือ ช่องว่างระหว่างการตรวจพบเชื้อกับการเข้าถึงยา บริการของเราช่วยให้ คนที่ทราบผลเลือดวันนี้ ได้รับยาในวันนี้เลย ซึ่งเป็น การเริ่มต้นที่สำคัญของชุมชน

“เมื่อ USAID หยุดสนับสนุน การเข้าถึงยาก็กลับไปสู่ระบบเดิม ซึ่งหมายความว่า คนที่ได้รับการตรวจพบเชื้อ ต้องรอการเข้าระบบใหม่ ช่องว่างนี้อาจทำให้หลายคนหลุดจากระบบการรักษา นี่คือผลกระทบที่ชุมชนต้องเผชิญอย่างหนัก คนไทยมีสิทธิ์ตรวจ HIV ปีละ 2 ครั้ง และรับยาต้านฟรี แต่คำถามคือ ระบบของกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐ​ที่มีอยู่สามารถรองรับกลุ่มเปราะบางทั้งหมดได้จริงหรือไม่?การที่เราสูญเสียบริการตรวจเชิงรุกและการให้ยาอย่างทันท่วงที หมายความว่าผู้ติดเชื้อบางส่วนอาจหลุดออกจากระบบ และนั่นจะเป็นผลกระทบระยะยาวต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ”

สุรางค์ จันทร์แย้ม

ทั้งนี้ข้อเรียกร้อง คือ

  1. ต้องการความชัดเจนจากภาครัฐ ว่าจะมีแนวทางสนับสนุนการให้บริการในภาคประชาสังคมอย่างไร
  2. ระบบบริการสุขภาพต้องเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับบริการสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง
  3. ต้องมีงบประมาณสนับสนุนจากภายในประเทศ เพราะการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติเป็นแนวทางที่ไม่ยั่งยืน

บางครั้งก็คิดประชดว่า ถ้าอย่างนั้น หยุดให้บริการไปเลยสักอาทิตย์ดีไหม ? เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมีความหมายแค่ไหน แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้… เราไม่อาจปล่อยให้ความอดทนของเราเดินไปถึงจุดนั้นได้ เพราะมันไม่คุ้ม สิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่การให้บริการ แต่มันคือ ชีวิตของผู้คน”

สุรางค์ จันทร์แย้ม

สุรางค์ ยังย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ทั้งพี่น้องประชาชน ดังนั้นอยากเรียกร้องกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเถอะ ไม่ต้องรอให้มีเวทีประชุมอย่างเป็นทางการ ออกมาพูดคุยกันว่าจะเดินหน้าไปอย่างไร ?      

พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)

ย้ำ “ไม่ขอเศษเงิน แต่ขอความร่วมมืออย่างเท่าเทียม” ช่วยพยุง

พญ.นิตยา ยังบอกอีกว่า สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพื่อนร่วมงานของเราทั่วโลกติดต่อมาถามไถ่กันว่า เป็นยังไงบ้าง ? พอไหวไหม ? มีอะไรให้ช่วยได้ไหม ? หลายแห่งแนะนำให้สมัครแหล่งทุนใหม่ หรือเสนอโอกาสช่วยเหลือ แต่จากภาครัฐ ไม่มีเลย… ไม่มีใครถาม ไม่มีใครติดต่อมาสอบถามว่าเราจะไปต่อกันอย่างไร ? แม้แต่ตอนที่ประกาศว่าต้องหยุดบริการ สิ่งที่เราได้รับกลับมา ก็มีแค่ “เป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ นะ” ซึ่งฟังเผิน ๆ เหมือนเป็นคำปลอบใจ แต่ลึกลงไปแล้วมันสะท้อนว่า “นี่เป็นเรื่องของเธอเองนะ แย่หน่อยนะช่วงนี้ ก็ไปจัดการกันเองแล้วกัน”

“มันทำให้เรารู้สึกว่า ภาครัฐไม่ได้มองว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังทำร่วมกันเพื่อประชาชน ถ้ามองระยะยาว เราก็คงต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีใครยื่นมือเข้ามา เราคงต้องเป็นฝ่ายเชิญให้เข้ามาพูดคุยกัน แต่ก็น่าเศร้าใจว่า แม้แต่เมื่อเราเชิญแล้ว หลายฝ่ายก็ยังไม่มา แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เราไม่คิดจะไปขอเศษเงินจากใคร มันหมดยุคของการรอคอยและการขอความช่วยเหลือแบบลำดับชั้นแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือ การร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ให้เราต้องลำบากถึงที่สุดก่อน แล้วจึงมีใครยื่นมือมาแบบสงเคราะห์”

พญ.นิตยา ภานุภาค 

พญ.นิตยา บอกด้วยว่า เวลาที่ภาครัฐลำบาก ภาคประชาสังคมก็ช่วยเหลือมาตลอด แล้ววันนี้ ในวันที่เราต้องการความช่วยเหลือบ้าง ภาครัฐก็ควรจะยื่นมือมาเช่นกัน ที่ผ่านมาภาคประชาสังคม ไม่เคยรู้สึกว่าหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่เห็นคุณค่าของงานเรา เรารู้ว่าทุกฝ่ายพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้มีงบประมาณไหลไปถึงภาคประชาสังคม เพื่อให้บริการเกิดขึ้นจริงในพื้นที่

แต่มันติดอยู่ที่ ระบบและข้อจำกัดบางอย่างที่ยังขวางกั้นอยู่ คำถามคือ เราจะปล่อยให้ระบบเหล่านี้มาขัดขวางการดูแลชีวิตผู้คนต่อไปอีกนานแค่ไหน ? ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องลงมือแก้ไข ไม่ใช่เพียงแค่ให้กำลังใจกันจากระยะไกล แต่ต้องลงมือทำจริง ๆ เพื่อให้ระบบบริการที่จำเป็นเหล่านี้ยังคงอยู่ต่อไป

สปสช. เสนอทางออกสนับสนุนภาคประชาสังคม หลัง USAID ถูกตัดงบฯ

ขณะที่ รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงแนวทางการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการตัดงบประมาณของ USAID ว่า แม้จะเป็นความท้าทาย แต่เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องหาทางออกร่วมกัน เป็นความยากแต่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องละเลยเพียงเพราะมันยาก มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ

รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

รองเลขาฯ สปสช. ยังเชื่อว่า คนส่วนใหญ่เห็นศักยภาพและผลลัพธ์การทำงานของภาคประชาสังคม แต่ปัญหาคือผู้มีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาต่าง ๆ ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญเท่าที่ควร พร้อมทั้งยอมรับว่า การขับเคลื่อนงานในระบบราชการไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่การรับรององค์กรตามกติกาที่วางไว้ก็ยังต้องถกเถียงกันเกือบปี แต่วันนี้ยังไงก็ต้องสู้ต่อ และเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

ในส่วนของทางออกรูปธรรม รองเลขาฯ สปสช. เปิดเผยว่า กำลังพยายามหาทรัพยากรสนับสนุนชุมชน โดยใช้ช่องทางตามมาตรา 47 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เปิดให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพในพื้นที่ได้เอง

“เรากำลังจัดสรรงบประมาณไปยังระดับจังหวัด โดยมีการสมทบจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งสิ่งที่เราต้องเตรียมการต่อไปคือการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน”

รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข

รศ.ภญ.ยุพดี ยังเปิดเผยแนวคิดสำคัญว่า จะนำงบประมาณที่มีอยู่ในระบบหลักประกันมาปันส่วน โดยตั้งเป็นงบประมาณอีกบรรทัดหนึ่งเพื่อสนับสนุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น ซึ่งตามประกาศฉบับใหม่ที่กำลังจะออกมา องค์กรชุมชนและองค์กรภาคประชาสังคมจะมีสิทธิ์เข้าถึงงบประมาณส่วนนี้ได้

นอกจากนี้ รองเลขาฯ สปสช. ยังย้ำถึงข้อเสนอให้จัดสรรงบประมาณ 1% เพื่อสนับสนุนองค์กรชุมชนและองค์กรภาคประชาสังคมโดยเฉพาะ คาดว่าใช้ไม่ถึง 30 ล้านบาท จึงเห็นช่องทางที่จะใช้มาตรา 47 เรื่องหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นเป็นกลไกสนับสนุนภาคประชาสังคมให้ยังคงขับเคลื่อนงานได้ หลังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณจาก USAID

กสม. เตรียมยื่นข้อเสนอต่อ นายกฯ ยันภาคประชาชนเป็นหุ้นส่วนสุขภาพ

สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กำลังเตรียมยื่นข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้ตัดงบประมาณสนับสนุนโครงการด้านสุขภาพในประเทศไทย

สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

“การตัดงบจาก USAID ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสุขภาพมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างของระบบสุขภาพไทย”

สุภัทรา นาคะผิว

สุภัทรา ยังอธิบายว่า ระบบสุขภาพไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่บุคลากรไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการทำงานเชิงรุก ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชน อย่างเครือข่ายผู้ติดเชื้อที่ทำงานในส่วนที่ระบบราชการทำไม่ได้ เช่น การเยี่ยมบ้าน หรือให้คำปรึกษา

“ปัญหาสำคัญคือเรายังไม่เคยยอมรับบทบาทของภาคประชาสังคมและองค์กรชุมชนว่าเป็นหุ้นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพไทย ในขณะที่เรายอมรับโรงพยาบาลเอกชน สนับสนุนส่งเสริมทุกอย่างเต็มที่ รวมถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์”

สุภัทรา นาคะผิว

ข้อเสนอสำคัญที่ กสม. จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี คือ การปรับแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะมาตรา 3 ซึ่งมีข้อกำหนดค่อนข้างมาก ทำให้องค์กรขนาดเล็กเข้าถึงได้ยาก นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการสนับสนุนงบประมาณในการจ้างบุคลากรทำงาน

กรรมการสิทธิฯ ยังยกตัวอย่างโมเดลความสำเร็จที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่อนุญาตให้แรงงานข้ามชาติที่ซื้อประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลในสังกัด กทม. สามารถใช้บริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่งได้ และยังมีการพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานข้ามชาติ ใน กทม.

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิม และปรับกฎระเบียบให้สอดรับกับสถานการณ์จริง เพราะไม่มีใครให้เงินเราตลอดชาติ เราต้องมีระบบรองรับสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนให้เข้าถึงได้จริงและในราคาที่เหมาะสม”

สุภัทรา นาคะผิว

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active