ชงเอาผิด ริบรถ ‘คนเมาแล้วขับ’ ช่วง 7 วันอันตราย ปีใหม่ 69

ภาคประชาชน ย้ำ อุบัติเหตุทางถนนไทยยังน่าห่วง เสียชีวิต 40 คน/วัน สูญเสียทางเศรษฐกิจ 6 แสนล้าน/ปี เดินหน้ายื่นอัยการสูงสุด เข้มเอาผิดริบรถ คนเมาแล้วขับ ขับรถอันตราย ลดเสี่ยงอุบัติเหตุ ลดสูญเสียช่วงปีใหม่ 69 พร้อมเสนอลงโทษหนักทั้งคนก่อเหตุ คนขายเหล้าให้เด็ก คนเมา วอนแก้กฎหมายจราจร เพิ่มโทษเมาขับชนคนตายจำคุกเกิน 10 ปี ติดคุกจริงไม่รอลงอาญา  

วันนี้ (22 ธ.ค. 68) มูลนิธิเมาไม่ขับและเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต, เครือข่ายพลังผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน, เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง, เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์, เครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง ในฐานะภาคีเครือข่ายที่ทำงานลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งในมิติ สุขภาพ ความรุนแรงในครอบครัว และลดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ร่วมกันยื่นหนังสือถึง อิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด เพื่อยื่นข้อเสนอและสนับสนุนนโยบายเมาแล้วขับให้ริบรถในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2569 โดยมี เสวต อภัยรัตน์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับเรื่องแทน

สุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ บอกว่า สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤต มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เฉลี่ย 40 คนต่อวัน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ปีละประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ยิ่งข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี มีคนไทยเสียชีวิตถึง 2 แสนคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต

สาเหตุสำคัญของความสูญเสียดังกล่าว คือ ผู้ขับขี่เมาสุรา ดังนั้นในช่วง 7 วันอันตราย ของเทศกาลปีใหม่ 2569 ที่กำลังจะถึงนี้เป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางจำนวนมาก จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการควบคุม ป้องกันการดื่มแล้วขับ ฝ่าฝืนกฎจราจร โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ในขณะที่ภาครัฐ มีนโยบายผ่อนปรนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ให้สถานบริการในพื้นที่นำร่อง ขายได้ยันตี 4 การยกเลิกเวลาห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. ทำให้ขายได้ตั้งแต่ 11.00 – 24.00 น. ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเพิ่มคนเมาบนท้องถนน เสี่ยงต่อการเกิดอุบติเหตุเมาแล้วขับ

“เมื่อมีการผ่อนปรนการควบคุม เปิดโอกาสให้ขายให้ดื่มได้มากขึ้น สิ่งที่จะตามมาย่อมหนีไม่พ้นอุบัติเหตุ ผลกระทบทางสังคมที่จะตามมา ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องจริงจังกับการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ ซึ่งเพิ่มโทษหนักกับผู้ที่ขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ขายให้คนเมา มีโทษปรับสูงถึง 100,000 บาท สูงกว่ากฎหมายเดิม 5 เท่า และยังเพิ่มความรับผิดทางละเมิดกับผู้ขายที่ขายให้เด็กและคนเมาจนไปก่อเหตุต่อผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือใหม่ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น  ทางผู้ประกอบการร้านเหล้าผับบาร์ คนขายเหล้าก็ต้องปรับตัวทำตามกฎหมาย”  

สุรสิทธิ์ ศิลปงาม

เครือมาศ ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ระบุว่า ในช่วง 7 วันอันตราย ของเทศกาลปีใหม่ 2569 เครือข่ายฯ ขอยื่นข้อเสนอต่ออัยการสูงสุด ดังนี้

  1. เครือข่ายขอสนับสนุนมาตรการของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่กำหนดให้อัยการที่ได้รับสำนวนคดีกับผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วให้พิจารณาว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหา เมาแล้วขับ มีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จราจร มาตรา 43 (8) ด้วยหรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าผิดขอให้สั่งให้ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหา และในการฟ้องคดีให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางด้วย  ซึ่งเป็นความก้าวหน้าในการบังคับใช้กฎหมายที่ตรงจุด

  2.  เครือข่ายขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ประชาสัมพันธ์มาตรการริบรถของกลาง กรณีเมาแล้วขับ ให้รับรู้กันโดยกว้างขวางเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด

  3. ลงโทษจริงจังกับผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 /2568 อาทิ มาตรา 29 เพิ่มโทษหนักสำหรับผู้ที่ขายให้เด็กและคนเมา กำหนดให้ผู้ขายต้องตรวจบัตรประชาชน ตรวจสอบอาการมึนเมา และต้องร่วมรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนกรณีคนเมาเหล่านั้นไปก่อความเสียหายต่อทรัพย์สิน และชีวิตผู้อื่น

  4. ขอให้พิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.จราจร เพื่อเพิ่มโทษเมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ให้มีบทลงโทษมากกว่า จำคุกไม่เกิน 10 ปี เพื่อทำให้ผู้ทำผิดต้องติดคุกจริงโดยไม่มีการรอลงอาญา ตัดช่องว่าเรื่องดุลยพินิจ

  5. เครือข่ายยินดีทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ในการเฝ้าระวัง การบังคับใช้กฎหมายและรณรงค์เพื่อลดปัญหาเมาแล้วขับในสังคมไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active