ไทยเสี่ยงสูญเสีย หากไม่ยกระดับแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ คาด ภายในปี 2573 เด็กเยาวชนไทย จะเสียชีวิตเพิ่มมากกว่า 4 หมื่นคน เฉลี่ยเสียชีวิตกว่า 3,600 คนต่อปี สถาบันยุวทัศน์ ฯ สสส. นำร่องสร้างความปลอดภัยด้านอุบัติเหตุในเด็กเยาวชน

กรมควบคุมโรค เปิดเผย 9 ปีผ่านมา (2554-2562 ) มีเด็กและเยาวชนไทย อายุ 10-19 ปี ที่เดินทางบนท้องถนนแล้วไม่ได้กลับบ้าน เพราะเสียชีวิต มากถึง 26,126 คน คิดเป็น 2,902 ต่อปี มีการวิเคราะห์อนุกรมเวลา Timeline series ในช่วงเวลา 11 ปี ต่อจากนี้ไป (2563-2573)หากไม่มีการแก้ไขจริงจังและกำหนดเป้าหมาย จะมีเด็กและเยาวชนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 40,421 คน หรือเฉลี่ยเสียชีวิตปีละ 3,675 คน

จุดพลังเยาวชน เปลี่ยนถนนไทยให้ปลอดภัย
สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรม “365 วันอันตราย : หยุดเด็กตายบนถนน” และเปิดเผยผลการขับเคลื่อนพื้นที่ต้นแบบความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชน ในโครงการพัฒนาความร่วมมือจังหวัดต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุในสถานศึกษา โดยมีพื้นที่นำร่อง ได้แก่ จ.ระยอง จ.ขอนแก่น จ.ชลบุรี (พัทยา) นอกจากนี้ยังมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 20 หน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม และเวทีเสวนานโยบายเพื่อหาแนวทางลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตบนถนนในเด็กและเยาวชน

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า จากข้อมูลของระบบบูรณาการข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน หรือ ข้อมูล 3 ฐาน พบว่าในปี 2567 รถจักรยานยนต์ คือยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คิดเป็น 80% ของยานพาหนะทั้งหมด โดยช่วงวัยที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ในช่วงวัย 15-19 ปี โดยมีสาเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเร็ว การดื่มแล้วขับ สภาพแวดล้อม จึงมุ่งเน้นการบูรณาการทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับทั้งภาครัฐและเอกชน ในการเก็บข้อมูล รวมไปถึงการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยบนถนน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษาที่เป็นสถานที่บ่มเพาะความรู้ ระเบียบวินัย การรู้จักหน้าที่ของตนเอง และการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบเคารพวินัยจราจร
ปัจจุบันขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชน ร่วมกับภาคีเครือข่ายผ่านการเสริมสร้างความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่ปลอดภัย เน้นพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ พร้อมสร้างผู้นำเยาวชนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมความปลอดภัย โดยสนับสนุน ยท. ดำเนินโครงการต้นแบบใน จ.ระยอง จ.ขอนแก่น จ.ชลบุรี (พัทยา) ขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ เช่น การบังคับใช้กฎหมาย พัฒนาทักษะขับขี่ และส่งเสริมทำใบขับขี่อย่างถูกต้อง พร้อมเสริมกลไกการสื่อสารสร้างการตระหนักรู้ ผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น TikTok มุ่งลดอุบัติเหตุและการสูญเสียในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสังคมที่มีวัฒนธรรมการเดินทางปลอดภัยสำหรับทุกคน

ณัฐวรรธน์ พรรังสรรค์ ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หลายทศวรรษที่ผ่านมาสถานการณ์ปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ สังคมไทยมายาวนาน ไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียและอาเซียน โดยภายในปี 2570 ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันตั้งเป้าว่าต้องลดอัตราการเสียชีวิตให้เหลือเพียง 12 คนต่อแสนประชากร แต่ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มความสูญเสียที่รุนแรง เนื่องจากปี 2567 ที่ผ่านมายังคงพบอัตราผู้เสียชีวิตสูงถึง 17,556 คน เฉลี่ยวันละ 48 คน
โดยเฉพาะกลุ่ม “เด็กและเยาวชน” ซึ่งเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคต จากการคาดการณ์ไทยอาจต้องสูญเสียทรัพยากรมนุษย์สำคัญอีกกว่า 37,321 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียมหาศาลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตบนท้องถนน เพราะเด็กและเยาวชน คือกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศในอนาคต

รวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า จากการถอดบทเรียนมาตรการความสำเร็จของพื้นที่นำร่องที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 มาตรการ ได้แก่ 1. ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 2. ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัย 3. พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับขี่และทักษะการขับขี่ 4. ส่งเสริมทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก 5. สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อม จนนำไปสู่การนำไปใช้จริงในพื้นที่ต้นแบบต่างๆ นับเป็นปีแรกที่ทางสถาบันยุวทัศน์ฯ ขยายพื้นที่ต้นแบบ ทั้งใน จ.ขอนแก่น และจ.ชลบุรี (พัทยา) พบว่าการขับเคลื่อนกิจกรรม ต้องอาศัยความร่วมมือจากต้นทุนพื้นที่ รวมไปถึงความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนมาตรการทั้ง 5 ข้อ รวมไปถึงการเก็บข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ ผ่านกระบวนการวิจัยการมีส่วนร่วม เพื่อเก็บข้อมูล และพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมในการสร้างวินัยจราจร จนนำไปสู่การลดจำนวนผู้เสียชีวิตทางถนน ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน