นักวิชาการ เสนอแผน “1 ขวานทอง 2 ถุงทอง 4 แสงทอง” เดินเกมยาว พร้อม ปรับแผนสื่อสารทั้งในประเทศและนอกประเทศ ปรับยุทธศาสตร์จากตั้งรับ เป็นเชิงรุก แก้ปัญหาระยะยาว
วันที่ 1 ส.ค. 68 ภายในงานเสวนาวิชาการหัวข้อ “จุดเปราะบางของสันติภาพไทย-เขมร: เมื่อมิตรสหายกลายเป็นคู่ขัดแย้ง” ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการวิเคราะห์และทำความเข้าใจสถานการณ์ ถึงชนวนเหตุความขัดแย้งจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงพัวพันกับยุทธศาสตร์ประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ยังรวมไปถึงการเข้ามาเกี่ยวข้องของ 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน-อเมริกาที่กำลังกลายมาเป็นผู้เล่นสำคัญ รวมถึงถึงข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลไทย โดยมีการเสนอว่าให้ปรับแผนด้านการสื่อสาร และปรับยุทธศาตร์ให้เป็นเชิงรุงในระยะยาว
“เป็นมิตรกับเมืองไกล ขัดใจกับเพื่อนบ้าน” วิเคราะห์ยุทธศาสตร์กัมพูชา ผ่าน 5 ปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ศ.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พาสำรวจไปถึงเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดการปะทะครั้งนี้ โดยวิเคราะห์ว่าว่ามาจากปัจจัยหลัก 5 ประการ ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของกัมพูชาด้วย และกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่อาจตรงกับนิยาม
“เป็นมิตรกับเมืองไกล แต่ขัดใจกับเพื่อนบ้าน”
1. ชาตินิยมปราสาทหิน
ศ.นภดล อธิบายว่า หากมองย้อนไปถึงยุคที่กัมพูชายังเป็นราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ จนกระทั่งถึงรัฐบาลปัจจุบัน แม้ว่ากัมพูชาถูกเปลี่ยนระบอบการปกครองไปอย่างไร แต่ธงชาติที่เปลี่ยนไปตามนั้น จะยังคงมีจุดร่วมร่วมคือการมีภาพของ “ปราสาทหิน” ปรากฏให้เห็นเสมอ
นี่จึงสะท้อนให้เห็นถึง “ชาตินิยมปราสาทหิน”
ในทางวิชาการ เชื่อว่าความรู้สึก “รักบ้านเกิดเมืองนอน” เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่การรู้สึกถึง “ชาตินิยม” เป็นสิ่งที่ต้องประกอบสร้างขึ้นมาอย่างจำเพาะเจาะจง แต่ละประเทศจะมีวิธีการสร้างค่านิยมชาติแตกต่างกัน
บางประเทศใช้ประวัติศาสตร์ บางประเทศใช้เชื้อชาติ หรือบางประเทศใช้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับกัมพูชา เราจะเห็นว่าเขาพยามปลูกฝังค่านิยมเรื่องปราสาทหิน ผู้นำทางการเมืองทุกยุคสมัยต้องพาตนเองไปใกล้ชิดกับปราสาทหินเสมอ เช่น การประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
ฉะนั้นแล้ว การปลุกกระแสชาตินิยมให้กับคนในชาติของกัมพูชาด้วยปราสาทหิน จึงทำได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งรัฐปลูกฝังให้ประชาชนซึมซับมานาน เมื่อไม่ใช่สิ่งใหม่ สำนึกในปราสาทหินนี้จึงมาพร้อมกับ อัตลักษณ์อาณาเขต (Territorial Identity) ด้วย

สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2. อำนาจของเรื่องเล่า
ยิ่งประเทศมีระบอบการปกครองระบบปิดมากเท่าไหร่ เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์จะยิ่งถูกบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จมากเท่านั้น โดยรัฐมีหน้าที่ผลิตเรื่องราวให้คนในชาติว่าจะให้จดจำอะไร และจดจำต่อมันอย่างไร
การผลิตเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ภายในประเทศของกัมพูชามักถูกเล่าให้ตนเองอยู่ในสถานะ “เหยื่อ” โดยมีไทย เวียดนาม และฝรั่งเศสเป็นผู้กระทำ และนำมาซึ่งความพยายามของกัมพูชาในการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของชาติ เรื่องเล่านี้ถูกควบคุม ผลิตซ้ำอยู่บนสื่อกระแสหลักมายาวนาน
“หลายคนเชื่อว่า วิธีการสร้างเรื่องเล่าแบบนี้อาจเป็นปกติสำหรับประเทศที่เคยยิ่งใหญ่มาก่อน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย อย่าง ออสเตรีย-ฮังการี ก็เคยเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่มาก่อน หรือตุรกี ที่เคยศูนย์กลางของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottonam Empire)ในอดีต แต่ประเทศเหล่านี้ก็ไม่เคยผลิตเรื่องเล่าลักษณะนี้เลย
“แต่กัมพูชาเลือกที่จะผลิตเรื่องเล่าบทผู้ถูกกระทำมาช้านาน ตอกย้ำว่าสิ่งนี้เป็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้สร้างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอดตั้งแต่ได้รับเอกราช ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดขึ้นในยุคสมัยของฮุน เซนที่ขึ้นมามีอำนาจเท่านั้น”
ศ.นภดล อธิบาย
3. กับดักการเมืองแบบอำนาจนิยม
ลักษณะการเมืองแบบอำนาจนิยมอย่างหนึ่ง คือ การพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และสูตรสำเร็จหนึ่งของผู้นำแบบอำนาจนิยมคือ การทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ตัวอย่างสำคัญ คือ ซัดดัม ฮุสเซน เป็นอดีตประธานาธิบดีของประเทศอิรัก หรือซูการ์โน อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย
ตลอด 70 ปี กัมพูชามีการเมืองแบบอำนาจนิยมมาโดยตลอด กระทั่งเพิ่งเริ่มเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยหลังจากองค์การสหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้งในปี 1993 จึงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชา
“ระบอบอำนาจนิยมมีความไม่ชอบธรรมอยู่แล้วโดยตัวมันเอง โจทย์ใหญ่ของประเทศที่มีลักษณะนี้จึงต้องพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง กลายเป็นสูตรสำเร็จของผู้นำในระบอบนี้ ที่เมื่อหาความชอบธรรมแบบอื่นไม่ได้ ก็จะหันความขัดแย้งออกนอกประเทศ” ศ.นภดล อธิบาย
4. กับดักความสำเร็จ
กัมพูชาเคยใช้กลไกในการจัดการความขัดแย้งระหว่างพรมแดน ด้วยวิธีนำปัญหาออกไปยังเวทีโลก และใช้เวทีระหว่างประเทศเหล่านี้เข้ามาเป็นแต้มต่อรองในการผลักดันบางอย่าง ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ แต่สุดท้ายแล้ว ข้อยุติหรือข้อตกลงที่เกิดขึ้นมักทำให้กัมพูชาก็จะได้อะไรติดมือกลับมาเสมอ ไม่มากก็น้อย
เช่นกรณีคคี “ปราสาทเขาพระวิหาร” ระหว่างไทย-กัมพูชา ในปี พ.ศ. 2505 และล่าสุดในปี พ.ศ. 2556
การเคยใช้ยุทธศาสตร์นี้ในอดีต และดูเหมือนจะสำเร็จอยู่บ้าง อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้กัมพูชาเลือกเดินเกมแบบเดิมในครั้งนี้ และยังมีการวางแผนมาอย่างดีและยาวนาน โดยเฉพาะด้านทางการฑูตและสมรภูมิข่าวสาร
5. การแข่งขันของมหาอำนาจ จีน-อเมริกา
หนึ่งในยุทธภูมิเข้มข้นในการแข่งขันของ 2 มหาอำนาจจีน-อเมริกาตอนนี้ คือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแน่นอนว่ามีไทย-กัมพูชา เข้าไปรวมอยู่ด้วย
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า หากมองกัมพูชาย้อนไปสมัยของฮุน เซน กัมพูชามีนโยบายที่โปรจีนมาก แต่วันนี้กลับเริ่มเปิดพื้นที่ให้อเมริกามากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการพลิกนโยบายแบบ “โค้งหักศอก”
เช่น โครงการ คลองฟูนันเตโช (Funan Techo Canal) เมื่อปีพ.ศ. 2567 รัฐบาลกัมพูชาประกาศถือหุ้นร่วมกับ บริษัท China Road and Bridge Corporation (CRBC) ของจีน อย่างไรก็ตามโครงการนี้ถูกชะลอลงเมื่อเดือนก่อน และกัมพูชาเชิญชวนให้กองทัพเรือภาคพื้นอินโดจีนแปซิฟิกนำเรือรบอเมริกามาเทียบท่าที่ ท่าเรือสีหนุวิลล์ (Sihanoukville) ซึ่งเป็นจุดนยุทธศาสตร์ “สร้อยไข่มุกจีน”
“สีหนุวิลล์เป็นพื้นที่ที่จีนลงทุนอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง การกระทำนี้เป็นการตบหน้าจีน ทำให้เห็นว่ากัมพูชาพร้อมจะทรยศหรือเหินห่างจากจีนได้ทุกเมื่อ และอาจความภักดีของพนมเปญที่มีต่อปักกิ่งจางหายไป”

สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สถานการณ์ตอนนี้ กัมพูชากำลังเปิดพื้นที่ให้กับ 2 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ให้พญาอินทรีย์และพญามังกรเข้ามาปะทะกันในพื้นที่เดียวกัน สร้างความตึงเครียดยิ่งขึ้น
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ “ทะเลอ่าวไทย” ที่มีรัฐที่ปันอาณาเขตกัน 4 ประเทศ (ไทย กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม) ที่มีการเข้ามาของจีน กระทั่งวันนี้มีการเข้ามาของอเมริกา ทำให้พื้นที่ที่ทางยุทธศาสตร์นี้มีผู้เล่นมากขึ้นอีก
รศ.ดุลยภาค มองว่า อาจยังเร็วเกินไปหากจะบอกว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา คือ “การเมืองระหว่างมหาอำนาจ” (Great Power Politics) แบบเข้มข้น แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะหากในอนาคตกัมพูชายังเปิดช่องให้อเมริกาเข้ามามีอิทธิพลมากมากขึ้นเรื่อย ๆ จีนอาจยอมไม่ได้และตอบโต้ นี่จึงเป็นจุดที่ต้องเฝ้าระวังในทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
ฉะนั้นแล้ว เหตุปะทะที่ขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาตอนนี้ อาจไม่ใช่ขัดแย้งระหว่างทวิภาคีของ 2 ประเทศอีกต่อไปแล้ว แต่ยังสัมพันธ์กับอีกหลายพื้นที่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ กล่าวคือ เราเห็นแต่ความขัดแย้งในพื้นที่โดยรอบ เช่น เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาบรรทัด และอ่าวไทย แต่ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับอีกหลายพื้นที่ เช่น ช่องแคบมะละกา ช่องแคบไต้หวัน และอ่าวไทย รวมถึงความสัมพันธ์ของยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร (อินโด-แปซิฟิก) ที่มีฝั่งผู้เล่นทั้งจีน-อเมริกาด้วย
ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางทหาร แต่คือการเมืองระหว่างประเทศ
ด้าน ศ.นภดล อธิบายว่า ความขัดแย้งของไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าฝั่งไทยกำลังเห็นว่าเป็นความขัดแย้งด้านการทหารเป็นหลัก ทำให้วิธีการแก้ปัญหาถูกออกแบบมาในวิธีคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะตอบโจทย์ทางทหาร
แต่หากปรับมุมมองว่า นี่คือ “ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ” การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาจะเปลี่ยนไป เพราะโดยหลักการแล้ว การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ มี 4 เครื่องมือ ได้แก่ เครื่องมือทางการทหาร ทางเศรษฐกิจ ทางการสื่อสาร และทางการระหว่างประเทศ (การฑูต)
“ที่ผ่านมา ไทยใช้เครื่องมือทางการทหารได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เครื่อมืออื่นที่เหลือต้องถูกใช้ไปพร้อมกัน ในขณะที่เห็นได้ชัดว่า กัมพูชาเดินหน้าใช้ 4 เครื่องมือนี้ไปแล้วพร้อม ๆ กันอย่างดี”
หากเรามองที่สมรภูมิทางทหาร เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่าไทยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หากมองไปถึงเรื่องเศรษฐกิจกลับตรงกันข้าม เนื่องจากไทยได้เปรียบดุลการค้ากับกัมพูชามาโดยตลอด การเกิดเหตุปะทะครั้งนี้ทำให้การค้าของไทยหยุดชะงักในขณะที่กัมพูชาไม่ได้เดือดร้อน เพราะถึงไม่ได้รับสินค้าจากไทย ก็หาสินค้าใกล้เคียงได้จากที่อื่นได้ นี่จึงทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้า และได้รับผลกระทบมากในที่สุด
ในขณะที่ด้านการทูต ศ.นภดลมองว่า กัมพูชาน่าจะวางแผนเกมนี้ไว้อย่างดีในระยะยาว จากที่ก่อนหน้านี้กัมพูชามีการซ้อมรบกับจีน อเมริกาเยือนท่าเรือ รมต.เยือนฝรั่งเศส รวมถึงการเดินเกมเจรจาขอหยุดยิงโดยการยื่นเรื่องเข้าสู่่
ก่อนหน้านี้กัมพูชามีการซ้อมรบกับจีน มีการให้อเมริกาเยือนท่าเรือ มีรมต.เยือนฝรั่งเศส รวมถึงการขอเจรยาหยุดยิงโดยการยืนเรื่องเข้าสู่ UNHCR และ ICJ (ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ)
ด้านการสื่อสาร ศ.นภดล ระบุว่า ในหลักการทางการระหว่างประเทศนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ต้องสื่อสารไปยังหลายมิติ ดังนี้
- สื่อสาร กับ คนในประเทศ คือ การควบคุมข่าวสารในประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และจะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตรงข้าม เช่น ความปลอดภัยของคนชายแดน การระแวดระวังภัย ฯลฯ ซึ่งไทยทำได้ดีแล้วในระดับหนึ่ง
- สื่อสาร กับ ประเทศคู่กรณี คือ การสื่อสารกับผู้นำ กองทัพ และประชาชนของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งตอนนี้ไม่มีข้อมูลมากนักว่ารัฐบาลไทยดำเนินการอย่างไร หรือเตรียมความพร้อมแค่ไหน
- สื่อสาร กับ ชาวโลก
“เห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชามีการเตรียมความพร้อมการสื่อสารกับชาวโลกอย่างดี และพยายามสื่อสารในทุกเวที แต่ไทยยังคงช้าและไม่มีความพร้อมมากนัก เช่น เมื่อมีสื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวไทย-กัมพูชา ลักษณะของข่าวจะออกมากลาง ๆ แม้ไม่ได้แย่ แต่ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกกับไทย
“แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวออกมาว่าไทยจับตัวทหารกัมพูชาไว้ การปล่อยข่าวลักษณะนี้เป็นข่าวที่ขายได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องจริงและได้มีการแก้ข่าวภายหลัง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากชาวโลกอีกแล้ว เห็นได้ว่านี่คือสิ่งที่กัมพูชาเตรียมการมาเป็นอย่างดี
กล่าวโดยสรุปแล้ว รัฐไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าเหตุปะทะในครั้งนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งทางการทหาร แต่คือความขัดแย้งระหว่างประเทศ แล้วนำ 4 เครื่องมือดังกล่าวมาแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่ใช่ใช้เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ทางทหารเท่านั้น
ศ.นภดล ยังเสริมอีกว่า ไทยยังคงมีแนวคิด “ปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” ที่ฝังอยู่มาอย่างยาวนาน เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้ง เราจะมองว่าเป็นแค่ปัญหาเฉพาะกิจที่แก้ไปเป็นครั้งคราว แล้วจะกลับมาดีกันใหม่ แต่จากเหตุการณ์นี้ เห็นว่าเราจะมองความสัมพันธ์ต่อกัมพูชาด้วยสายตาแบบเดิมอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
“นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าทำให้เราพยายามจะญาติดีกับเพื่อนบ้านตลอดเวลา ร่วมกันค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สร้างความร่วมมือทางทหาร เกิดวิฤตเป็นครั้งคราวแล้วเดี๋ยวจะกลับมาดีกันใหม่
“แต่ผมคิดว่าวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เราต้องกลับมาตั้งโจทย์กันใหม่ เปลี่ยนระดับโครงสร้างของนโยบายระหว่างประเทศ และนโยบายทางหารระหว่างไทย-กัมพูชาใหม่ทั้งหมด”
“1 ขวานทอง + 2 ถุงทอง +4 แสงทอง” เสนอยุทธศาสตร์สื่อสาร พร้อมเดินเกมระยะยาว
จากเหตุปะทะล่าสุดนี้ ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ที่ไทยอาจได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีทางทหาร (แม้จะไม่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในบางพื้นที่) แต่หากมองในภาพรวม ไทยอาจไม่ได้ชนะในยุทธศาสตร์ครั้งนี้อยู่ดี
รศ. ดุลยภาค มีข้อเสนอว่า ก้าวต่อไปของรัฐไทยคือควรวางยุทธศาสตร์ใหม่ โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
ระยะสั้น – เร่งปรับยุทธศาสตร์การสื่อสาร
รัฐบาลไทยควรมีการตอบโต้ทางข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและขยายวงกว้างกว่านี้ เพราะที่ผ่านมารัฐเลือกที่จะตอบโต้ด้วยวิธีที่เป็นทางการเท่านั้น แต่ในทางยุทธศาสตร์ รัฐสามารถร่วมมือกับพี่น้องสื่อมวลชนในไทย ให้ช่วยเผยแพร่และเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้
“สื่อในบ้านเรามีจำนวนมากกว่าสื่อของกัมพูชาเสียอีก ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รัฐควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเรื่องการสื่อสาร ทำให้ไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ” รศ. ดุลยภาค อธิบาย
ระยะยาว
เนื่องจากไทยใช้ยุทธศาสตร์แบบ “ตั้งรับ” มานาน ด้วยแนวคิดการปกป้องเอกราชและอธิปไตยมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไทยได้ถูกประเทศอื่นละเมิดอธิปไตยมานานแล้ว
เนื่องจากไทยไม่เคยมียุทธศาสตร์เชิงรุก ในการสร้างเขตอิทธิพลรอบตะเข็บชายแดนเพื่อนบ้านที่ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นเลย จึงเป็นเรื่องน่ากังวลว่าในอนาคต ไทยจะปกป้องอธิปไตย หรือมีอิทธิพลมากพอในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร
รศ. ดุลยภาค มีข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ “1 ขวานทอง + 2 ถุงทอง +4 แสงทอง” ดังนี้
1 ขวานทอง
นั่นคือการมีนโยบายตั้งรับอย่างปราณีต ไม่ให้มีการรุกล้ำของต่างชาติเข้ามา ประเทศขวานทองต้องมั่นคงยั่งยืน
2 ถุงทอง
ทะเลอ่าวไทย และทะเลอันดามันเป็นแหล่งรายได้สำคัญของไทย ที่เปรียบเสมือน “ถุงทอง” แต่ตอนนี้กลายเป็นสนามการค้าสำคัญของ 2 มหาอำนาจ จีน-อเมริกา เราจึงจำเป็นต้องขยายการทูตทางทหารเรือ ขยายกิจกรรมทางการค้าการลงทุนให้มากขึ้น
หากวันนี้ ไทยยังดำเนินการใด ๆ กำลังรบทางทะเลก็จะมีการเคลื่อนไหวต่ำ และเสียเปรียบหลายประเทศที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้
4 แสงทอง (Power projection)
รัฐไทยควรแผ่พลังอำนาจ (Power projection)ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการขยายอำนาจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อปกแผ่เขตอิทธิพล
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการฑูต เศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรม และแสนยานุภาพ ออกไปนอกดินแดนไทยทั้ง 4 ทิศ กุมพรมแดนทั้งพม่า ลาว มาเลเซีย รวมทั้งกัมพูชาด้วย (ในยุทธวิธีต้องแตกต่างกันไปตามแต่ละบริบทของแต่ละทิศ)
“ ที่ผ่านมา ไทยเจอการกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านหลายรูปแบบ แต่เรากลับเอาแต่ตั้งรับเท่านั้น ทำให้พี่น้องไทยเราอยู่กันบนความเสี่ยง การแผ่อำนาจออกไปทั่วทุกทิศรอบตัวของประเทศไทย จะผลักภัยคุกคามที่มาจากประเทศโดยรอบได้
“การนำแผนยุทธศาสตร์นี้ไปใช้จึงเป็นข้อเสนอ ที่รัฐจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดหลายอย่าง เพื่อให้คนไทยปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าเรายังมีความหวังอยู่” รศ. ดุลยภาค ทิ้งท้าย