นักวิชาการ เสนอแผน “1 ขวานทอง 2 ถุงทอง 4 แสงทอง” เดินเกมยาว พร้อม ปรับแผนสื่อสารทั้งในประเทศและนอกประเทศ ปรับยุทธศาสตร์จากตั้งรับ เป็นเชิงรุก แก้ปัญหาระยะยาว
วันที่ 1 ส.ค. 68 จากงานเสวนาวิชาการหัวข้อ “จุดเปราะบางของสันติภาพไทย-เขมร: เมื่อมิตรสหายกลายเป็นคู่ขัดแย้ง” ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการวิเคราะห์และทำความเข้าใจสถานการณ์ ถึงชนวนเหตุความขัดแย้งที่ไม่เพียงพัวพันกับยุทธศาสตร์ประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ยังรวมไปถึงประเทศมหาอำนาจอย่างจีน-อเมริกาที่กำลังเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญ รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลไทย โดยเรียกร้อง ปรับแผนการตอบโต้ทางข้อมูลข่าวสาร และปรับยุทธศาตร์เชิงรุกในระยะยาว
“เป็นมิตรกับเมืองไกล แต่ขัดใจกับเพื่อนบ้าน” วิเคราะห์ยุทธศาสตร์กัมพูชา ผ่าน 5 ปัจจัยเชิงโครงสร้าง
ศ.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า เมื่อพิจารณายุทธศาสตร์ของกัมพูชาตอนนี้ อาจให้นิยามว่า “เป็นมิตรกับเมืองไกล ขัดใจกับเพื่อนบ้าน” โดยมีปัจจัยเชิงโครงสร้าง 5 ประการ ที่เชื่อว่าเป็นโครงสร้างหลักที่เข้าไปกำหนดนโยบายการต่างประเทศของกัมพูชา
1. ชาตินิยมปราสาทหิน
ศ.นภดล อธิบายว่า ทุกครั้งท่ีกัมพูชาเปลี่ยนระบอบการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่สม้ยของสมเด็จนโรดมสีหนุที่ยังเป็นราชอาณาจักร มาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ธงชาติกัมพูชาจะถูกเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ธงชาติ ก็จะมีภาพของ “ปราสาทหิน” อยู่ตรงกลาง นี่จึงเป็นรูปธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึง “ชาตินิยมปราสาทหิน”
ในทางวิชาการ เชื่อว่า การรู้สึกรักบ้านเกิดเมืองนอนของมนุษย์เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่เรียกว่า “ชาตินิยม” เป็นสิ่งที่ต้องประกอบสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ละประเทศมีวิธีในการสร้างค่านิยมชาติแตกต่างกันไป บางประเทศใช้ประวัติศาสตร์ บ้างใช้เชืhอชาติ บ้างใช้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สำหรับกัมพูชาจะเห็นว่าผู้นำทางการเมืองทุกยุคสมัย จะนำตนเองไปใกล้ชิดกับปราสาทหินเสมอ เช่น การประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
การปลุกกระแสชาตินิยมให้กับคนในชาติของกัมพูชาด้วยปราสาทหิน จึงทำได้ง่าย เพราะเป็นสิ่งที่ซึมซับในประชาชนมานานแล้ว ไม่ใช่สิ่งใหม่ สำนึกในปราสาทหินนี้จึงมาพร้อมกับ Territorial Identity (อัตลักษณ์อาณาเขต) ด้วย

สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2. อำนาจของเรื่องเล่า
ยิ่งประเทศมีระบอบการปกครองที่เป็นระบบปิดมากแค่ไหน เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ก็ยิ่งถูกบริหารจัดการเบ็ดเสร็จมากเท่านั้น โดยผลิตเรื่องราวที่ให้ผู้คนจดจำอะไร และจำอย่างไร
ส่วนหนึ่งคือการผลิตเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ว่า กัมพูชาอยู่ในฐานะเหยื่อ หรือผู้ถูกกระทำ โดยมีผู้กระทำเป็น ไทยและเวียดนามเป็นหลัก (มีฝรั่งเศสเสริมบ้าง) ที่ผ่านมาจึงมีเรื่องเล่ามากมายที่สะท้อนการถูกกระทำ แล้วความพยายามของกัมพูชาในการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพจนกลายเป็นเรื่องเล่ากระแสหลัก
“หลายคนเชื่อว่า ประเทศใดที่เคยเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่มาก่อน แล้วเล็กลงมักจะสร้างเรื่องเล่าแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ทุกประเทศที่ทำแบบนี้ เช่น ออสเตรีย ฮังการีที่เคยเป็นอาณาจักรกว้างใหญ่มาก่อน หรือ ตุรกี ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรออตโตมันในอตีต แต่พวกเขาก็ไม่เคยผลิตเรื่องเล่าลักษณะนี้
“แต่กัมพูชาเลือกที่จะผลิตเรื่องเล่าแบบนี้มาช้านาน ตอกย้ำความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้สร้างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านมาตลอดตั้งแต่การได้รับเอกราช ไม่ใช่เฉพาะในยุคสมัยของฮุน เซน มีอำนาจเท่านั้น” ศ.นภดล อธิบาย
3. กับดักของระบอบการปกครองแบบอำนาจนิยม
ลักษณะของการปกครองระบอบอำนาจนิยม คือ ต้องการสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และสูตรสำเร็จหนึ่งของผู้นำแบบอำนาจนิยมคือ การทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ตัวอย่างสำคัญ คือ ซัดดัม ฮุสเซน เป็นอดีตประธานาธิบดีของประเทศอิรัก หรือซูการ์โน อินโดนีเซีย
กัมพูชามีการปกครองแบบอำนาจนิยมมาโดยตลอด 70 ปี จนกระทั่งการโค่นล้มอำนาจของเจ้านโรดม สีหนุ โดยฮุน เซน ที่เพิ่งมีประชาธิปไตยหลังจาการที่องค์การสหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้ง
ศ.นภดล อธิบายว่า ระบอบอำนาจนิยมมีความไม่ชอบธรรมอยู่แล้วโดยตัวมันเอง โจทย์ใหญ่ของประเทศที่มีลักษณะนี้จึงต้องพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง กลายเป็นสูตรสำเร็จของผู้นำในระบอบนี้ ที่เมื่อหาความชอบธรรมแบบอื่นไมไ่ด้ ก็จะหันความขัดแย้งออกนอกประเทศ
4. กับดักความสำเร็จ
5. การแข่งขันของมหาอำนาจ จีน-อเมริกา
การแข่งขันของ 2 มหาอำนาจนี้มีประเทศเล็กเข้าไปอยู่ในวังวน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นจุดเข้มข้นหนี่ง
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ในสมัยของฮุน เซน กัมพูชามีนโยบายที่โปรจีนมาก แต่วันนี้กลับพลิกนโยบายแบบ “โค้งหักศอก” คือ เปิดพื้นที่ให้กับอเมริกามากขึ้น
จากเหตุการที่ มีการชะลอการขุดคลองฟูนันเตโช (Funan Techo) เมื่อเดือนก่อน โดยกลุ่มบริษัทต่างชาติจีน แต่กัมพูชากลับเชิญชวนให้เรือรบอเมริกาที่มาจากกองทัพภาคพื้นอินโดแปซิฟิก มาเทียบท่าเรือสีหนุวิลล์ (Sihanoukville) ที่ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ “สร้อยไข่มุกจีน”
“สีหนุวิลล์เป็นพื้นที่ที่จีนลงทุนอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง สิ่งนี้เป็นการตบหน้าจีน ทำให้เห็นว่ากัมพูชาพร้อมจะทรยศหรือเหินห่างจากจีนได้ทุกเมื่อ ความภักดีของพนมเปญที่มีต่อปักกิ่งอาจจางหายไป”

สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หลักสูตรอาณาบริเวณศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สิ่งนี้เท่ากับว่า กัมพูชากำลังเปิดพื้นที่ให้พญาอินทรีย์และพญามังกร เข้ามาปะทะในพื้นที่เดียวกัน ยิ่งสร้างความตึงเครียดมากขึ้น
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ “ทะเลอ่าวไทย” ที่มีรัฐที่ปันอาณาเขตกัน 4 ประเทศ (ไทย กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม) ที่ชายฝั่งแปรเปลี่ยนมีกาเข้ามาของจีน กระทั่งวันนี้อเมริกาเข้ามาแล้ว ทำให้พื้นที่ยุทธศาสตร์นี้มีผู้เล่นมากขึ้นเป็น 2 มหาอำนาจโลก
รศ.ดุลยภาค มองว่า อาจยังเร็วเกินไปหากจะบอกว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจะเกี่ยวข้องกับ Great Power Politics แบบเข้มข้น แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะหากกัมพูชายังเปิดช่องให้อเมริกาเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นกว่านี้ จีนอาจยอมไม่ได้และตอบโต้ จึงเป็นจุดเฝ้าระวังที่จะคุกรุ่นอีกเช่นกันในทางภูมิรัฐศาสตร์
ฉะนั้นแล้ว หากมองความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา นี่ไม่ใช่การขัดแย้งระหว่างทวิภาคีของ 2 ประเทศอีกต่อไปแล้ว แต่มันต้องพิจารณาว่าความขัดแย้งตรงพื้นที่นี้ (เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาบรรทัด และอ่าวไทย) ยังเชื่อมโยงกับอีกหลายพื้นที่ เช่น ช่องแคบมะละกา ทะเลอันดามัน และช่องแคบใต้หวัน ร่วมถึงความสัมพันธ์ของยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร (อินโดแปซิฟิก) ของจีนและอเมริกาอย่างไรด้วย
ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางทหาร แต่คือการเมืองระหว่างประเทศ
ด้าน ศ.นพดล อธิบายว่า ความขัดแย้งของไทย-กัมพูชาที่กล่าวมาแล้วนั้น ไทยดูเหมือนจะมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความขัดแย้งด้านการทหารเป็นหลัก ทำให้วิธีการแก้ปัญหาถูกคิดขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรจึงจะตอบโจทย์ทางทหาร
แต่หากปรับมุมมองว่า นี่คือ “ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ” และโดยหลักการ หากจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศได้นั้น มี 4 เครื่องมือ ได้แก่ เครื่องมือทางการทหาร การสื่อสาร ทางเศรษฐกิจ และทางการระหว่าประเทศ (การทูต)
“ที่ผ่านมา ไทยใช้เครื่องมือทางการทหารได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่อย่าลืมว่าเครื่อมืออื่นที่เหลือต้องถูกใช้ไปพร้อมกัน ในขณะที่เห็นได้ชัดว่า กัมพูชาเดินหน้าใช้ 4 เครื่องมือนี้ไปแล้วพร้อม ๆ กัน”
เราเห็นได้ชัดว่า สมรภูมิทางทหาร ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หากมองไปถึงเรื่องเศรษฐกิจกลับตรงกันข้าม เพราะที่ผ่านมา ไทยได้เปรียบดุลการค้ามาตลอด แต่การเกิดการปะนะนี้ ทำให้การค้าหยุดชะงัก และกัมพูชาก็หาสินค้าไทยได้จากที่อื่น นี่จึงทำให้ไทยได้รับผลกระทบมาก ทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้าในที่สุด
ในขณะที่เรื่องทางการทูต ศ.นพดลมองว่า กัมพูชาวางแผนเกมนี้ไว้อย่างดีในระยะยาว ก่อนหน้านี้กัมพูชามีการซ้อมรบกับจีน มีการให้อเมริกาเยือนท่าเรือ มีรมต.เยือนฝรั่งเศส รวมถึงการขอเจรยาหยุดยิงโดยการยืนเรื่องเข้าสู่ UNHC และ ICJ
เช่นเดียวกับเรื่องการสื่อสาร ศ.นพดล ระบุว่า ในทางการระหว่างประเทศ การสื่อสารทำได้หลายมิติ ได้แก่
- สื่อสาร กับ คนในประเทศ คือ การควบคุมข่าวสารในประเทศ ที่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตรงข้าม เช่น ความปลอดภัยของคนชายแดน การระแวดระวังภัย ฯลฯ ซึ่งไทยทำได้ดีแล้วในระดับหนึ่ง
- สื่อสาร กับ ประเทศคู่กรณี คือ การสื่อสารกับผู้นำ กองทัพ และประชาชนของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งตอนนี้ไม่มีข้อมูลมากนักว่าไทยดำเนินการอย่างไร หรือพร้อมแค่ไหน
- สื่อสาร กับ ชาวโลก
“การสื่อสารกับชาวโลก เห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชามีการเตรียมความพร้อมและพยายามสื่อสารในทุกเวที แต่ไทยยังคงช้าและไม่มีความพร้อมมากนัก เห็นได้ชัดเวลาที่สื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวไทย-กัมพูชา ลักษณะของข่าวจะออกมากลาง ๆ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกกับไทยนัก
“แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการออกข่าวว่า ไทยจับตัวทหารกัมพูชาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่กัมพูชาเตรียมการมา แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่การปล่อยข่าวลักษณะนี้เป็นข่าวที่ขายได้ แม้จะมีการแก้ข่าวในภายหลังจากฝั่งไทยว่าไม่เป็นความจริง แต่ก็ไม่ได้ได้รับความสนใจอีกแล้วต่อชาวโลก”
กล่าวโดยสรุปแล้ว รัฐไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองว่านี่ไม่ใช่ความขัดแย้งทางการทหาร แล้วค่อยนำ 4 เครื่องมือมาตอบสนองด้านยุทธศาสตร์ทางทหาร
แต่เรากำลังเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ และต้องนำทั้ง 4 เครื่องมือมาช่วยแก้ปัญหาต่างหาก
ศ.นพดล ยังเสริมอีกว่า ไทยยังคงมีแนวคิด “ปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” ที่ฝังอยู่มาอย่างยาวนาน เมื่อไหร่ที่เกิดความขัดแย้ง เราจะมองว่าเป็นแค่ปัญหาเฉพาะกิจที่แก้ไปเป็นครั้งคราว แล้วจะกลับมาดีกันใหม่ แต่จากเหตุการณ์นี้ เห็นว่าเราจะมองความสัมพันธ์ต่อกัมพูชาด้วยสายตาแบบเดิมอีกต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ควรพร้อมเผชิญหน้า
“นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าทำให้เราพยายามจะญาติดีกับเพื่อนบ้านตลอดเวลา ร่วมกันค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สร้างความร่วมมือทางทหาร เกิดวิฤตเป็นครั้งคราวแล้วเดี๋ยวจะกลับมาดีกันใหม่
“แต่ผมคิดว่าวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เราต้องกลับมาตั้งโจทย์กันใหม่ เปลี่ยนระดับโครงสร้างของนโยบายระหว่างประเทศ และนโยบายทางหารระหว่างไทย-กัมพูชาใหม่ทั้งหมด”
“1 ขวานทอง + 2 ถุงทอง +4 แสงทอง” เสนอยุทธศาสตร์สื่อสาร พร้อมเดินเกมระยะยาว
จากเหตุปะทะล่าสุดนี้ แม้ไทยจะมีแสนยานุภาพทางทหารที่สูงกว่า และไทยอาจได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีทางทหาร (แม้จะไม่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในบางพื้นที่) แต่หากมองในภาพรวม ไทยอาจไม่ได้ชนะในยุทธศาสตร์ครั้งนี้อยู่ดี
รศ. ดุลยภาค มีข้อเสนอว่า ก้าวต่อไปของรัฐไทยคือควรวางยุทธศาสตร์ใหม่ โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
ระยะสั้น – เร่งปรับยุทธศาสตร์การสื่อสาร
รัฐบาลไทยควรมีการตอบโต้ทางข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและขยายวงกว้างกว่านี้ ที่ผ่านมาเราเห็นเป็นเพียงการตอบโต้อย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วสามารถขอความร่วมมมือจากพี่น้องสื่อมวลชนที่มีจำนวนมากในไทยช่วยกันเผยแพร่ให้ไปในทิศทางเดียวกัน
“สื่อในบ้านเรามีจำนวนมากกว่าในกัมพูชามาก ทั้งภาษาไทยและอังกฤษแต่ที่ผ่านมา รัฐควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจถึงทิศทางในการนำเสนอข่าว และสนับสนุนข้อมูลแก่สื่อมวลชน รวมถึงให้ทิศทางในการสื่อสารไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ” รศ. ดุลยภาค อธิบาย
ระยะยาว
เนื่องจากไทยมียุทธศาสตร์แบบ “ตั้งรับ” มานาน ผ่านแนวคิดการปกป้องเอกราชและอธิปไตยมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไทยได้ถูกประเทศอื่นละเมิดอธิปไตยมานานแล้ว
จึงเป็นเรื่องน่ากังวลว่าในอนาคต ไทยจะปกป้องอธิปไตย หรือมีอิทธิพลในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร เนื่องจากไทยไม่เคยมียุทธศาสตร์เชิงรุก ในการสร้างเขตอิทธิพลรอบตะเข็บชายแดนเพื่อนบ้านที่ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นเลย
รศ. ดุลยภาค มีข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ “1 ขวานทอง + 2 ถุงทอง +4 แสงทอง” นั่นคือ
1 ขวานทอง
คือ การตั้งรับอย่างปราณีต ไม่ให้มีการรุกล้ำของต่างชาติเข้ามา ประเทศขวานทองต้องมั่นคงยั่งยืน
2 ถุงทอง
คือ ไทยมี ทั้งทะเลอ่าวไทย และทะเลอันดามันที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของไทย แต่ตอนนี้กลายเป็นสนามการค้าสำคัญของ 2 มหาอำนาจ จีน-อเมริกา เราจำเป็นต้องขยายการทูตทางทหารเรือ ขยายกิจกรรมทางการค้าการลงทุนให้คึกคับขึ้น เพราะหากไทยยังไม่มีการเคลื่อนไหว การทูตทางทหารเรือ กำลังรบทางทะเลก็จะมีการเคลื่อนไหวระดับต่ำ และเสียเปรียบหลายประเทศที่อยู่ในบริเวณนี้เช่นเดียวกัน
4 แสงทอง (Power projection)
Power projection คือ การขยายอำนาจของรัฐด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ คือการแผ่พลังอำนาจออกไปเพื่อปกแผ่เขตอิทธิพล
ในที่นี้คือทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรม ออกไปนอกดินแดนไทยทั้ง 4 ทิศ กุมพรมแดนทั้งพม่า ลาว มาเลเซีย รวมทั้งกัมพูชาด้วย (ในยุทธวิธีต้องแตกต่างกันไปตามแต่ละบริบทของแต่ละทิศ)
“การแผ่อำนาจออกไปทั่วทุกทิศรอบตัวของประเทศไทย จะผลักภัยคุกคามที่มาจากประเทศเพื่นอบ้านออกไปได้ ที่ผ่านมา ไทยเจอการกดดันจากประเทศเพื่อนบ้านหลายรูปแบบ แต่เรากลับเอาแต่ตั้งรับเท่านั้น ทำให้พี่น้องไทยเราอยู่กันบนความเสี่ยง
“การนำแผนยุทธศาสตร์นี้ไปใช้จึงเป็นข้อเสนอ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตหลายอย่าง เพื่อให้คนไทยปลอดภัยมากขึ้น ผมเชื่อว่าเรายังมีความหวังอยู่” รศ. ดุลยภาค ทิ้งท้าย