ร้อง นโยบาย ‘สแกนหน้าแอปธนาคาร’ เลือกปฏิบัติ กีดกัน ‘คนตาบอด’

นักรัฐศาสตร์ ชี้ ระบบสแกนใบหน้าทำธุรกรรมธนาคาร ส่งผลกระทบต่อคนพิการทางสายตา ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ร้ององค์กรผู้แทนคนพิการ ดำเนินการเจรจาปัญหากับสถาบันการเงิน และหน่วยงานรัฐ ย้ำ หากการเจรจาไม่เป็นผล ให้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เหตุไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สืบเนื่องจากปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีนโยบายให้ธนาคารทุกแห่ง ที่ให้บริการแอปพลิเคชัน mobile banking ต้องยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมบนแอปธนาคาร ด้วยการ “ยืนยันตัวตน” ผ่านการสแกนหน้าทุกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่ามิจฉาชีพ ใช้ช่องทางดังกล่าว หลอกให้ประชาชนโอนเงิน ซึ่งมีประชาชนสะท้อนว่านโยบายดังกล่าว เป็นอุปสรรคต่อคนพิการทางสายตา รวมถึงประชาชนทั่วไปจำนวนหนึ่ง 

ขวัญชัย เกิดแดน อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โพสต์ระบุว่า ในฐานะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่ศึกษาและสอนประเด็นนโยบายสาธารณะและสิทธิมนุษยชน และในฐานะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้เสนอข้อมูล และข้อวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาในการใช้สิทธิตามกฎหมาย ในฐานะองค์กรตัวแทนของคนพิการ เพื่อดำเนินการทางปฏิบัติกับสถาบันการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ 

โดยมองว่า นโยบายบังคับใช้ เทคโนโลยีการสแกนใบหน้า (Facial Recognition) เพียงวิธีเดียวเป็นอุปสรรคต่อคนพิการทางสายตาในการเข้าถึงธุรกรรมดิจิทัล พร้อมยกกรณีตัวอย่างของตัวเอง ว่า 

“ข้าพเจ้าต้องทำธุรกรรมโอนเงินและชำระค่าสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ระบบบังคับให้ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะพยายามหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ส่งผลให้บัญชีถูกระงับทันที ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินทางไปขอยกเลิกการระงับบัญชีกับทางสาขา ซึ่งเสียเวลาและมีค่าใช้จ่าย ต่อมาข้าพเจ้าพบว่า ระบบกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรมเพียงครั้งละ 1,000 บาท หากไม่สแกนใบหน้า เป็นการแก้ปัญหาที่สร้างภาระซ้ำซ้อน”

ประสบการณ์นี้สะท้อนปรากฏการณ์ การกีดกันทางการเงิน (Financial Exclusion) ในระดับโครงสร้าง เพราะไม่เพียงผู้พิการทางสายตาที่ถูกบังคับให้เผชิญกับระบบที่เข้าถึงไม่ได้เท่านั้น ผู้ใช้บริการที่มีสายตาปกติจำนวนไม่น้อยก็ไม่ได้พ้นจากความยากลำบากในการสแกนใบหน้าเช่นกัน ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความไม่สะดวก แต่เป็น อุปสรรคเชิงโครงสร้าง ที่ผลักผู้คนจำนวนมากออกจากการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัล

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่

  1. การจำกัดการทำธุรกรรมประจำวัน – ไม่สามารถชำระค่าสินค้า บริการ โอนเงิน หรือจ่ายบิลอย่างสะดวก หากสแกนหน้าไม่ผ่าน ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องพึ่งพาการเบิกเงินจากตู้ ATM หรือไปสาขา ซึ่งมีต้นทุนทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายสูง

  2. ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้อมูล – นโยบายที่อ้างว่าสร้างความปลอดภัยสูงสุด กลับบีบให้ผู้พิการทางสายตา (รวมถึงบุคคลที่มีสายตาปกติจำนวนหนึ่ง) ต้องมอบข้อมูลส่วนตัวแก่บุคคลที่สาม เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือคนแปลกหน้า เพื่อทำธุรกรรมแทน

  3. สมมติฐานที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความพร้อมทางเทคโนโลยี – ผู้พิการทางสายตาโดยเฉพาะผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล อาจใช้สมาร์ทโฟนที่ไม่มีกล้อง หรือมีกล้องคุณภาพต่ำ นโยบายนี้ละเลยความหลากหลายของผู้ใช้ และไม่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

  4. อุปสรรคด้านเทคนิคเฉพาะตัว – ปัญหาในการจัดตำแหน่งใบหน้ากับกล้อง และการตรวจสอบ Liveness Detection เช่น การกะพริบตาหันหน้า ก้มหน้า เงยหน้า หรือการมองกล้อง เป็นต้น 

โดยเฉพาะสำหรับผู้พิการทางสายตาที่ไม่มีลูกตา หรือใช้ตาเทียม ระบบนี้ถือเป็นการลบตัวตนของพวกเขาออกจากระบบเศรษฐกิจดิจิทัลโดยสิ้นเชิง

ขวัญชัย ยังระบุว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเดือดร้อนส่วนบุคคล แต่ยังละเมิด อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบรรณไว้เมื่อปี 2008 ในข้อ 5 (ความเสมอภาคและไม่เลือกปฏิบัติ) ข้อ 9 (สิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างเท่าเทียม) และข้อ 19 การใช้ชีวิตอย่างอิสระ (Independent Living) รวมทั้งขัดต่อหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ของ SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) และเป้าหมายที่ 16 (ส่งเสริมสังคมที่ยุติธรรมและสถาบันที่เข้มแข็ง)

ปัญหานี้เกิดจากความล้มเหลวในการออกแบบนโยบายของหน่วยงานกำกับดูแล แทนที่รัฐจะสร้างกลไกส่งเสริมความเท่าเทียม กลับกำหนดนโยบาย “ทางเลือกเดียว” ให้ผู้บริโภคแบกรับภาระ

นอกจากนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยังออกมาตรการเชื่อมโยงการยืนยันตัวตนซิมการ์ดโดยใช้การสแกนใบหน้า ซึ่งเป็นการตอกย้ำและขยายผลของนโยบายที่เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน

จากการกระทำและการละเลยของหน่วยงานรัฐและเอกชนดังกล่าว ย่อมเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง โดยมีฐานทางกฎหมายรองรับทั้งในระดับรัฐธรรมนูญและกฎหมายเฉพาะ ดังนี้

  1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 กำหนดหลักความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ โดยบัญญัติชัดเจนว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งสภาพทางกายหรือสุขภาพจะกระทำมิได้”

  2. พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาตรา 15 ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนกำหนดนโยบายหรือวิธีปฏิบัติที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม หากก่อให้เกิดผลให้คนพิการเสียสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับเพราะเหตุแห่งความพิการ ย่อมถือว่าขัดต่อกฎหมาย

  3. มาตรา 20 (6) ของกฎหมายเดียวกัน รับรองสิทธิของคนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก “เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการสื่อสารสำหรับคนพิการทุกประเภท” ซึ่งหมายความว่านโยบายที่จำกัดช่องทางให้เหลือเพียงการสแกนใบหน้าเพียงอย่างเดียว ย่อมละเมิดสิทธิโดยตรง

  4. มาตรา 17 ให้อำนาจแก่องค์กรด้านคนพิการในการ “ร้องขอหรือฟ้องคดีแทน” ผู้พิการที่ได้รับความเสียหายจากการถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและสร้างความเป็นธรรมในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบการให้บริการของธนาคารในต่างประเทศ หลายธนาคารพัฒนาทางเลือกที่หลากหลายและปลอดภัย เช่น

  • อังกฤษ (Barclays) – ให้ใช้รหัสผ่าน (PIN) หรือข้อความลับที่จำง่ายแทนข้อมูลเชิงชีวมิติ

  • สหรัฐฯ (Wells Fargo) – ระบบ Voice Banking ใช้การจดจำเสียง

  • ออสเตรเลีย (National Australia Bank) – ออกแบบร่วมกับผู้พิการ (Co-design)

  • ญี่ปุ่น (Mizuho) – ใช้ Vein Authentication ไม่ต้องอาศัยการมองเห็น

ขวัญชัย จึงเสนอว่า ให้องค์กรผู้แทนคนพิการ พิจารณาดำเนินการเชิงปฏิบัติ โดยเริ่มจากการเจรจาและชี้แจงอุปสรรค ผลกระทบ และข้อเรียกร้องเพื่อให้สถาบันการเงินและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมีมาตรการทางเลือกที่เข้าถึงได้จริง และหากการเจรจาไม่เป็นผล ขอให้พิจารณาดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองโดยอ้างว่าการบังคับใช้การสแกนใบหน้าเพียงวิธีเดียวเป็นการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active