ย้ำบทเรียนโครงการเหมือง คาร์บอนเครดิต รวมถึงข้อกังวล แลนด์บริดจ์ กระทบทรัพยากร สิทธิชุมชน เสนอ หยุดขายทรัพยากรรอบใหม่ พร้อมเปิดวงคุยแก้รัฐธรรมนูญ กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ให้ทุกคนได้ประโยชน์
เวทีเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 เพื่อสะท้อนเสียงจากชุมชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เรื่องที่ดินที่อยู่อาศัย จากการเข้าไปของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ จากบทเรียน 3 พื้นที่ เหมืองแร่, คาร์บอนเครดิต และ แลนด์บริดจ์ โดยทั้ง 3 พื้นที่เสี่ยงจะโดยละเมิดสิทธิชุมชนและไล่รื้อ

พิเชษฐ์ ปานดำ เครือข่ายประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งอันดามัน เล่าถึงสถานการณ์ที่ชุมชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเผชิญ นั่นคือ ภูเก็ต เป็นพื้นที่ที่ขายทรัพยากรมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยคนรู้จัก ภูเก็ตในฐานะเหมืองแร่ ป่าชายเลน ทะเล
ต้นปี 2530 ทรัพยากรหมด ทะเลก็มีอวนลากจับสัตว์น้ำ ป่าชายเลนก็ถูกสัมปทาน รวมถึงประเด็นเรื่องนากุ้ง จนชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อการจัดการทรัพยากรใหม่
“สิทธิเชิงบุคคลมันหายไป กับขบวนการขุดรีดทรทรัพยากร 80-90% ของชุมชนที่อยู่ชายฝั่งที่ดินทำกินก็ไม่ค่อยจะไม่มี คนที่มีสูงสุดคือ 1 ไร่ ฉะนั้นป่าชายเลนกับทะเลจึงเป็นพื้นที่สำคัญ”
พิเชษฐ์ ปานดำ
สถานการณ์หลังการระบาดของ โควิด-19 พบว่า มีสถานการณ์ใหม่เข้ามาในพื้นที่ นั่นคือโครงการคาร์บอนเครดิต ที่ถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาโลกร้อน ถือว่าเป็นกลไกระดับโลกที่เป็นทางออก ส่งผลให้ป่าชายเลนที่ ชาวบ้านใช้เป็นที่พึ่งพิง และมีความสำคัญกับชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ก็กลายเป็นที่หนึ่งที่ถูกหมายตาและถูกคัดไปเป็นพื้นที่ที่จะทำโครงการคาร์บอนเครดิต

พิเชษฐ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โดยเนื้อหาสาระของ คาร์บอนเครดิต ทำให้ไม่ไว้วางใจเพราะอยู่ในวังวนเดิม คือการขายทรัพยากร แต่การทำคาร์บอนเครดิตคือการขายทรัพยากรในรูปแบบใหม่
โดยมีหน่วยงานลงพื้นที่ประชุมกับชาวบ้านว่าให้จัดตั้งกรรมการชุมชน แต่พบว่าตอนประชุมไม่ได้บอกรายละเอียด มีสถานการณ์เกิดขึ้นในชุมชนจนทำให้ชาวบ้านสงสัยจึงมีการทำหนังสือ ส่งไปยังกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแต่ไม่ได้คำตอบ
“หลังจากนั้นเราไปหาข้อมูลต่อก็พบว่า บ้านบางโลที่ผมอยู่ที่ภูเก็ตซึ่งเป็นบ้านเกิดตัวเองก็เป็นหนึ่งชุมชนที่ อยู่ในเป้าหมายของโครงการคาร์บอนเครดิต และมารู้อีกว่าถูกคัดเลือกไปแล้วและมีบริษัทที่หมายตาไว้แล้วด้วย กำหนดพื้นที่ไว้เกือบ 800 ไร่อันนี้มารู้ตอนหลัง”
พิเชษฐ์ ปานดำ
รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง เล่าถึง ต้นทุนทรัพยากรในจังหวัดระนองที่มีทั้งต้นทุนทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรป่า ทรัพยากรทางทะเล แต่ ณ ปัจจุบันพบว่าพื้นที่ดังกล่าว เป็นหนึ่งในแผนของการทำแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจากทะเลอันดามันไปที่อ่าวไทย

“การพัฒนาเศรษฐกิจถูกแล้วหรือที่จะใช้วิธีการนี้ เพราะจะต้องมีการถมทะเลที่จังหวัดระนองประมาณ 7,000 ไร่ และจะมีการถมทะเลที่จังหวัดชุมพรอีกประมาณ 6,000 กว่าไร่ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันใหญ่เกินไปและทรัพยากรของเราที่อยู่ตรงนั้นจะเอาอย่างไร ปลาที่ชาวบ้านหากินอยู่ทุกวันที่ต้องส่งมากรุงเทพฯ ส่งไปต่างประเทศอีก ของพวกนี้จะหายไปทั้งหมด พี่น้องประมงจะเอาอย่างไร”
รสิตา ซุ่ยยัง
ทั้งนี้หากโครงการเกิดขึ้นแล้ว รสิตา ตั้งคำถามว่าชาวบ้านจะใช้ชีวิตอย่างไร เพราะเมื่อไปดูที่ EHIA พบว่า มีการศึกษาเพียง 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ในทะเลหมดเลยไม่ใช่พื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เมื่อมีการสำรวจผลกระทบชาวบ้านจึงไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น
สอดคล้องกับ ก้อย ทะเลลึก ตัวแทนชาวมอแกน เล่าว่า ชาวบ้านลำบากมากพออยู่แล้วเพราะว่าไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ชาวบ้านลำบากทุกวัน ทะเลมีชีวิต และมีอาหารให้กิน แต่ถ้าเกิดมีอุตสาหกรรมและสารพิษอาจจะทำให้ปลาตาย มนุษย์ถ้าไม่มีอาหารต้อง อพยพอยู่แล้วปลาก็เช่นกัน

นอกจากพื้นที่ทางภาคใต้แล้ว อีกหนึ่งพื้นที่ที่พบว่ามีความพยายามเข้าไปของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ คือ ภาคเหนือ ซึ่งประเด็นปัญหาคือเรื่องของการทำเหมืองแร่ เช่น เหมืองแร่ฟลูออไรต์ บ้านห้วยมะกอก อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพื้นที่นี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นมา แต่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เรื่องราวของความความกังวลและผลกระทบในพื้นที่นี้ ผ่านมุมมองของคน 2 รุ่นในพื้นที่ คือ สมศักดิ์ โชติเกษตรกุล ตัวแทนเครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา สะท้อนว่า คนอยู่กับป่า ป่าอยู่กับคนเป็นสิ่งที่อยู่มาร่วม 200 ปีแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่วิถีชีวิตแต่ยังรวมไปถึงพิธีกรรมต่าง ๆ
ขณะที่ วิไลพร ขยันกิจเพิ่มพูน เยาวชนเครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา ฝากถึงภาครัฐให้ดูแลคนบนดอยบ้าง ไม่อยากให้แบ่งแยกว่าเป็นชาติพันธุ์ เป็นกะเหรี่ยง และทำลายป่า ยืนยันว่า พวกเขาอยู่ในป่าแต่ไม่เคยทำร้ายป่า เพราะพวกหากินอยู่กับป่า ไม่ยอมให้เหมืองแร่มาทำในหมู่บ้านเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการพูดคุย ชาวบ้านมีข้อเสนอว่า โครงการเฉพาะหน้า โครงการคาร์บอนเครดิตจะต้องหยุด และสิ่งที่จะต้องไปต่อคือเรื่องของ สิทธิชุมชน ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันในเรื่องของรัฐธรรมนูญใหม่ ที่จะต้องผลักดัน
ส่วนกรณีของโครงการแลนด์บริดจ์ มีข้อเสนอว่า ขอให้หยุด อย่าถมทะเลเพราะทะเลเป็นพื้นที่ที่มีอาหารให้กินและทะเล คือ เงินทอง คือพื้นที่ที่จะช่วยให้ชาวบ้านอยู่ได้
รวมไปถึงข้อเสนอให้ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และให้ยกเลิกการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่างในภาคตะวันออก (EEC) และเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ (SEC) แลนด์บริดจ์ จึงขอให้มีการตั้งวงคุยเรื่องทิศทางการพัฒนาภาคใต้ว่าควรไปทางไหน เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง