ย้ำภาพ ‘นวัตกรรม’ ที่แท้จริง ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำหน้า แต่คือวิธีคิดใหม่ กล้าเปิดระบบปิดให้โปร่งใส ทลายกรอบราชการเดิม ๆ เชื่อมคนกับเครื่องมือ ร่วมแก้ปัญหาสังคม
ภายในงาน Good Society Day 2025 มีวงเสวนา Good Talk : คนดีชอบแก้ไข ที่รวมเหล่า speakers ตัวจริงจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคสุขภาพ มาร่วมกันหาคำตอบว่า “เราทำดีไปทำไม” “ความดียังจำเป็นอยู่ไหมในโลกวันนี้” และ “เราจะร่วมเปลี่ยนสังคมไปด้วยกันได้อย่างไรในโลกที่ปั่นป่วน”

‘Traffy Fondue’ ลองฟ้องดูเพื่อสังคมที่ดีกว่า – ภาครัฐมีคนช่วยจับตามอง
วสันต์ ภัทรอธิคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ดูแลระบบการรับเรื่องร้องเรียน Traffy Fondue เปิดมุมมองใหม่ต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาสังคม ผ่านแนวคิดให้พลเมืองเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาทางสังคม โดยเปลี่ยนทุกคนให้เป็นผู้แจ้งปัญหาได้ง่าย ๆ ผ่าน LINE โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปเฉพาะให้ยุ่งยาก เปรียบเสมือนการสั่งอาหารหรือสั่งสินค้าทางออนไลน์ แต่เปลี่ยนมาเป็นการสั่งเพื่อแก้ปัญหาในสังคม ให้การร้องเรียนเป็นเรื่องใกล้ตัว
ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ระบบนี้มีการใช้งานกว่า 1.6 ล้านครั้ง แก้ไขปัญหาได้แล้วราว 70% และมีหน่วยงานรัฐเอกชนกว่า 20,000 หน่วยร่วมดำเนินงาน ครอบคลุมกว่า 30 จังหวัด ซึ่งถือว่าครึ่งหนึ่งของประเทศสามารถเข้าถึงได้จริง วสันต์ ยังเปรียบเทียบระบบนี้เหมือน ตลาดกลางแห่งการแก้ปัญหา ที่มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาทำงานร่วมกัน หากหน่วยใดทำดี ระบบก็จะคึกคักและเกิดความไว้วางใจจากประชาชน แต่หากหน่วยใดเพิกเฉย ก็จะกลายเป็นจุดที่ทำให้ตลาดนี้เสียสมดุล

วสันต์ ยอมรับว่า ความท้าทายใหญ่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือกลไกหลังบ้านของรัฐที่ยังทำงานแบบแยกส่วน จำเป็นต้องมีผู้นำที่กล้าผลักดันให้ระบบเปิดและเชื่อมต่อกันจริงจัง วิสัยทัศน์และความกล้าหาญทางนโยบายจากนักบริหารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยกตัวอย่างล่าสุด สวทช.ได้ขยายการใช้แพลตฟอร์มสู่การคุ้มครองผู้บริโภค โดยเชื่อมต่อกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และแพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่กว่า 30 แห่ง เพื่อให้สามารถสั่ง Take Down สินค้าอันตรายได้ทันที ถือเป็นก้าวสำคัญของการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนความรับผิดชอบของรัฐและเอกชนร่วมกัน
“เรามีเครื่องมือที่ดีแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร เพราะการแก้ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่แค่คลิกส่งเรื่อง แต่คือการใส่พลังลงไปในระบบให้มันทำงานจริงเพื่ออนาคตของลูกหลานเรา”
วสันต์ ภัทรอธิคม
‘ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน’ พลังใหม่ของภาคประชาชน
มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ย้อนเล่าจุดเริ่มต้นเมื่อกว่า 15 ปีก่อน ที่กลุ่มเริ่มสร้างเครือข่ายพลเมืองต่อต้านคอร์รัปชันผ่านเพจ ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน โดยใช้ LINE เป็นเครื่องมือหลักให้ประชาชนรายงานปัญหาในพื้นที่ของตนเอง จากอาสาสมัครไม่กี่สิบคน ขยายเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ และพัฒนาเป็นฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐกว่า 15 ล้านรายการ เพื่อให้สังคมเข้ามาตรวจสอบการใช้เงินภาครัฐได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันข้อมูลเหล่านี้ถูกใช้โดยนักวิจัย สื่อมวลชน และหน่วยงานรัฐเอง

ต่อมามีการพัฒนา แชตบอตฟ้องโกง ร่วมกับนักวิจัยจุฬาฯ และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อเปิดช่องทางร้องเรียนผ่านเอไอ ผลคือมีผู้เข้ามาใช้และแชร์ข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันสั้น แสดงถึงพลังของประชาชนเมื่อมีเครื่องมือที่เข้าถึงง่ายและน่าเชื่อถือ
มานะ ยังสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาว่า อุปสรรคใหญ่ของการแก้คอร์รัปชันไม่ใช่เทคโนโลยี เทคโนโลยีเรามีพร้อม แต่คือระบบปิดของหน่วยงานรัฐที่ยังมองว่าข้อมูลเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่ยอมเปิดให้ประชาชนเข้าถึง ทั้งที่ข้อมูลนั้นเป็นของสาธารณะ โดยข้อจำกัดนี้ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาโดยใช้ข้อมูลเป็นฐานเกิดขึ้นได้ยากในการบริหารงานของภาครัฐ
จึงย้ำว่าหากรัฐเปิดข้อมูลและเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานได้จริง ภาคประชาชนจะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้พัฒนาสังคมได้มหาศาล ตั้งแต่การตรวจสอบงบประมาณ ไปจนถึงการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสาธารณะ
“คำว่า ประชาชนเป็นใหญ่ จะไม่มีวันเป็นจริง ถ้าเรายังไม่มีข้อมูลในมือ เพราะไม่มีความจริงไหนเปลี่ยนโลกได้ ถ้ามันถูกปิดไว้ในระบบราชการ”
มานะ นิมิตรมงคล
AI เพื่อ ‘ความเสมอภาค’ ทางสุขภาพ ในวันที่โลกเหลื่อมล้ำขึ้นทุกวัน
ขณะที่ นพ.ศุภวิชญ์ ตั้งปนิธานดี Health Intelligence Lab (HI Lab), BDMS ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทยที่มีแพทย์เพียง 0.5 คนต่อประชากร 1,000 คน ต่ำกว่ามาตรฐานโลก ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพยังเหลื่อมล้ำเพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมของเขาพัฒนา LINE OA (Official Account) ชื่อว่า Gindee (กินดี) ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับผู้ช่วยแชตบอตใช้ AI วิเคราะห์อาหารจากภาพถ่ายและให้คำแนะนำตามโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น เบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง ช่วยให้คนไข้ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์บ่อยครั้ง

นพ.ศุภวิชญ์ เล่าด้วยว่าทีมยังต้องสอน AI ให้เข้าใจภาษาและอาหารไทย เช่น ผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน หรืออาหารที่มีวัตถุดิบซ่อนอยู่ภายใต้ซอส ด้วยวัฒนธรรมไทยมีความละเอียดซับซ้อน ต้องอาศัยการฝึกและทำความเข้าใจบริบทสังคม เพื่อให้ระบบวิเคราะห์ได้แม่นยำขึ้นในบริบทจริงของประเทศ
นอกจากนั้น HI Lab ยังวิจัยต่อยอดเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์ (Genomics) และโปรตีโอมิกส์ (Proteomics) ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์เหล่านี้เป็นแนวโน้มการรักษาในโลกอนาคต เป็นการแพทย์เฉพาะบุคคลที่เข้าใจความแตกต่างของแต่ละคน ทั้งพันธุกรรม การใช้ชีวิต และพฤติกรรมการกิน
นพ.ศุภวิชญ์ ยังย้ำว่า AI ไม่ใช่เครื่องมือมาแทนหมอ แต่คือผู้ช่วยที่จะช่วยลดภาระและขยายโอกาสให้คนต่างจังหวัดเข้าถึงการรักษาได้เท่าเทียมกับคนเมือง เช่น การให้หมอหัวใจในกรุงเทพฯ สามารถวิเคราะห์ผลผู้ป่วยจากระยะไกลได้
ในมุมส่วนตัว นพ.ศุภวิชญ์ ยกประสบการณ์เป็นแพทย์อาสาในพื้นที่ห่างไกล ที่เห็นคนไข้รอคอยการรักษาเป็นเดือน นั่นคือแรงผลักให้เขาใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือแห่งความเท่าเทียมที่จะไม่ปล่อยให้ใครต้องรอการรักษาอีกต่อไป
“ผมเชื่อว่าความดีไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แค่ใช้ความรู้ของเราสร้างโอกาสให้คนอื่นเข้าถึงสิ่งที่เขาควรได้ นั่นก็คือการทำดีที่สุดแล้ว”
นพ.ศุภวิชญ์ ตั้งปนิธานดี

วงเสวนายังชวนสรุปให้เห็นว่า นวัตกรรมที่แท้จริงไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำหน้า แต่คือวิธีคิดใหม่ที่กล้าเปิดระบบปิดให้โปร่งใส กล้าเชื่อมคนเข้ากับเครื่องมือเพื่อร่วมแก้ปัญหาสังคม และกล้าทลายกรอบวิธีคิดแบบราชการเดิม ๆ เพื่อเปิดโอกาสไปสู่วิธีแก้ไขปัญหาแบบใหม่ ๆ จากแพลตฟอร์มรายงานปัญหาเมือง ไปจนถึงระบบข้อมูลเปิดต่อต้านคอร์รัปชัน และ AI ทางการแพทย์ ทั้งหมดสะท้อน พลังของพลเมืองที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง