“เดินเท้าเข้ากรุง เปลี่ยน อนาคต” ภาค ปชช.หวัง สสร.เลือกตั้งเขียนรัฐธรรมนูญ

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) พร้อมเครือภาคประชาชนหลายกลุ่ม เริ่มกิจกรรม เดินเปลี่ยนอนาคต จาก อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวม 6 วัน 55 กิโลเมตร พร้อมแถลงการณ์ร่วม หวังเห็นรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยสมาชิกสภาร่าง (สสร.)ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น

วันนี้ (6 ธ.ค.2568) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) พร้อมทั้งเครือข่ายประชาชนหลายกลุ่มหลายองค์กรร่วมกันเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 6 – 10 ธ.ค.68 เพื่อเรียกร้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า “เดินเปลี่ยนอนาคต Walk to the Future”  ณ จุดเริ่มต้น อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อมุ่งหน้าไปยังปลายทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันรัฐธรรมนูญของไทย ระยะทาง 55 กิโลเมตร

ก่อนออกเดินคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) พร้อมเครือข่ายได้แถลงการณ์ร่วมกัน เปรียบเปรยว่า “เรา, ประชาชน คือ น้ำ การเมือง คือ สิ่งกีดขวางทางน้ำ” 

“การเมืองสร้างโศกนาฏกรรมและภัยพิบัติ เพื่อสร้างละครคุณธรรมเข้าไปช่วยเหลือ และทำให้ประชาชนเป็นหนี้สำนึกในบุญคุณ ทั้ง ๆ ที่ประชาชนคือผู้สร้างการเมือง มิใช่การเมืองสร้างประชาชน ไม่ต่างจากที่ประชาชนต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ด้วย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด แต่การเมืองกีดขวาง ให้เราได้แค่กรรมาธิการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน”

เครือข่ายภาคประชาชน จึงเดินเพื่อสะสมชัยชนะ เดินเปลี่ยนอนาคต เดินฝ่าสิ่งกีดขวางทางการเมือง ด้วยความหวังว่า จะเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เขียนโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น เพราะรัฐธรรมนูญที่ดี คือรัฐธรรมนูญที่เขียนด้วยมือและเท้าของประชาชน

จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หนึ่งในผู้ร่วมเดิน กล่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนจากหลายภาคส่วนที่ได้มารวมตัวกันเพื่อเดินเปลี่ยนอนาคต เดินเพื่อเรียกร้องให้เกิดการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และยังคงยืนยันว่า สสร. ตัวแทนที่เข้าไปดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% นี่คือจุดยืนของประชาชนที่ไม่อาจถอยได้ 

“รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของอำนาจใครเขียนรัฐธรรมนูญก็มักจะเพื่อประโยชน์ให้กับชนชั้นและพวกพ้องของตัวเอง การเดินทางนี้คือการทวงคืนอำนาจเพื่อให้กลับคืนสู่ประชาชน”

กล่าวคือผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐในรูปแบบต่างๆ เช่น การทำเหมืองแร่ กำลังสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นในหลายหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือที่กำลังได้รับผลกระทบจากเหมืองถ่านหินลิกไนต์ หรือกรณีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขงที่ทำให้พี่น้อง เชียงราย เชียงใหม่ กำลังได้รับผลกระทบ

หรือทางภาคอีสานตอนนี้มีกรณีปัญหาของเหมืองหินที่มีการใช้ การระเบิดหิน เพื่อเอาทรัพยากรและสร้างผลกระทบให้กับพ่อแม่พี่น้องในพื้นที่ และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือประเด็นเหมืองแร่โปแตช ที่ตอนนี้มีการดำเนินการอยู่ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา 

ปัญหาของการดำเนินการของโครงการแร่เหล่านี้เกิดจากการที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้อำนาจในการจัดการทรัพยากรแรกเป็นของรัฐ เสียงของประชาชนในพื้นที่จึงกลายเป็นเสียงที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง

จุฑามาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากระบวนการมีส่วนร่วมถูกทำให้เป็นแค่พิธีกรรม ประชาชนชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้มีอำนาจใด ๆ  มีเพียงความคิดเห็นแต่ไม่ได้มีอำนาจด้านการตัดสินใจ นี่คือปัญหาที่ใหญ่มากของรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ต้องการคืนอำนาจการจัดการทรัพยากรให้กลับมาอยู่ในมือของประชาชน

สำหรับการเดินในวันแรกมีเครือข่ายภาคประชาชนจากหลายจังหวัดมาร่วมไม่ว่าจะเป็นประชาชนจากสภาริมรางเมืองขอนแก่น ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย-เอ็มพาวเวอร์ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรเหมืองแร่ (PPM) สหพันธ์เกษตรภาคใต้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด นักอนุรักษ์น้อยนครผาดงมะไฟ สมัชชาคนจน และกลุ่มประชาชนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active